พ่อแม่รังแกฉัน
บทคัดย่อ
ในปัจุจบันนี้มีปัญหาต่างๆมากมายเกิดขึ้นในสังคมไทยของเราและปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็มาจากคนเรานี้แหละที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายโดยเฉพาะปัญหาเด็กเร่ร่อนและในทุกวันนี้ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเพราะสังคมของเราขาดการอบรมเลี้ยงดูที่ดี
ในปัจุจบันนี้ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเราก็สามารถเจอและพบเห็นเด็กเร่ร่อนได้ในทุกที่ เด็กเร่ร่อนเหล่านี้เป็นปัญหาสังคมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ไปในทิศทางที่ดี เด็กเร่ร่อนตาสถานที่ต่างๆมักจะมั่วสุ่มกันบางก็จะจับกลุ่มทำในสิ่งที่ดี บ้างก็จะจับกลุ่มทำในสิ่งที่ไม่ดี เด็กเร่ร่อนเหล่านี้เป็นปัญหาทางสังคมที่ขาดการอบรมเลี้ยงดูปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมของเรากก็มาจากเด็กเร่ร่อน เช่น การวิ่งราว ปํญหายาเสพติด ปัญหาการข่มขืน ปัญหาการขโมยของ เป็นต้น ปัญหาสภาพทางสังคมไทยของเราในปัจุจบันนั้นเป็นปัญหาที่มีการต่อสู้แย่งชิงกันเยอะทำให้คนที่มีโอกาสที่จะได้รับสิทธิพิเศษลดน้อยลงไปอีกด้วย แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปัจุจบัน รัฐบาลควรเปิดโอกาศให้กับประชาชนหรือบุคคลที่ เร่ร่อน บุคคลที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล คนไร้สัญชาติ ได้มีโอกาสในเรื่องต่างๆบ้าง ควรรณรงค์ ประชาสัมพันธุ์ให้ความรู้ในปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมและใครมีบทบาทมากที่สุดในการปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมที่ดีให้กับบุคคลเล่านี้
ปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทยเรานั้นไม่ได้มีเพียงปัญหาที่มาจากครอบครัวเท่านั้นแต่ยังมีปัญหาอีกมากมายที่ทำให้เกิดเด็กเร่ร่อนในสังคม แต่ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เกิดเด็กเร่ร่อนถ้าทุกคนในสังคมช่วยกันเป็นแบบอย่างที่ดีให้กันและกันปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นก็คงอาจจะลดน้อยลงมากกว่าที่เป็นอยู่
เหตุผลประกอบในการเลือกเรื่องนี้
เพื่อให้ทราบถึงปัญหาเด็กเร่ร่อนว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องใดเป็นอันดับหนึ่งและให้ทุกคนได้ตระหนักถึงปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทย
วัตถุประสงค์ในการนำเสนอ
1. ให้ประชาชนทุกคนตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กเร่ร่อนในสังคม
2. ให้ความรู้ในเรื่องการใช้ชีวิตในสังคมกับบบุคคลทุกเพศทุกวัย
3. ลดการเกิดปัญหาที่จะทำให้เกิด การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร
ปัญหาครอบครัว เด็กไร้สัญชาติ ปัญหาการเรียน ความอยากรู้อยากเห็นอยากลอง
4. ลดปริมาณเด็กเร่ร่อนในสังคมให้น้อยลง
5. วิธีการดูแลเด็กเด็กเร่ร่อนในมูลนิธิต่างๆว่าเป็นอย่างไร
6. ปัญหาเด็กเร่ร่อนมีผลกระทบต่อสังคมอย่างไร
7. หาวิธีทางในการแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทย
สาเหตุที่นำไปสู่กระบวนการปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทย
ด้วยสภาพสังคมไทยประสบปัญหาทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายขึ้นกับเด็กและเยาวชน โดยที่รัฐบาลเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจมากเกิน จึงส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะปัญหาเด็กเร่ร่อน ที่หนีออกจากบ้าน เหมือนกับนกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั้น ไม่มีการวางแผนอนาคตดำรงวิถีชีวิตไปเรื่อยๆไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน เร่ร่อนตามสวนสาธารณะ ตลาด ป้ายรถเมล์ ดำรงชีวิตให้อยู่รอดๆไปวัน โดยการขอทาน รับจ้างเก็บขยะขาย เก็บเศษเหล็ก ล้างจาน เป็นต้น ชีวิตของเด็กเหล่านี้ขาดการพัฒนาทุกด้าน ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีการเข้ารับบริการจากรัฐ เพราะเด็กบางคนขาดเอกสารใบเกิด ทะเบียนบ้าน ส่งผลให้เด็กเหล่านี้บางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาชญากรรม และธุรกิจบริการทางเพศ
จากสภาพสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มว่าเด็กเร่ร่อนจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามเมืองใหญ่ เด็กเหล่านี้มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะถูกทำร้ายและตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทุกประเภทรวมทั้งติดยาเสพติดถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจบริการทางเพศ ในปี พ.ศ. 2535 มีเด็กเร่ร่อนที่เข้าสู่สถานสงเคราะห์และอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพของกรมประชาสงเคราะห์ จำนวน 1,460 คนในปี 2536มีเด็กเร่ร่อนอายุระหว่าง 11-15 ปี ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 362 คนในปี 2537มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กระบุว่ามีเด็กเร่ร่อนทั่วประเทศทั้งสิ้น 13,322 คน เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาในระบบ หรือเรียนแต่ไม่จบชั้นประถมศึกษาเนื่องจากต้องอพยพเร่ร่อนตามครอบครัวจึงไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา พ่อแม่ด้อยการศึกษาและไม่เอาใจใส่รวมทั้งสติปัญญาและความสามารถของเด็กเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้การศึกษาของเด็กเร่ร่อนค่อนข้างต่ำปัญหาเด็กเร่ร่อนเป็นปัญหาที่มีมานาน และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ เป็นปัญหาสังคมที่เชื่อมโยงกับปัญหาอื่น ๆ
สำหรับเด็กเร่ร่อนในประเทศไทยนั้นพบว่า กรุงเทพมหานครมีจำนวนเด็กเร่ร่อนมากที่สุด โดยเด็กเร่ร่อนเหล่านี้อาศัยอยู่ตามที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น หัวลำโพง สนามหลวง เชิงสะพานพุทธ วงเวียนใหญ่ สวนศรีนครินทร์ ลาดพร้าว พัฒน์พงษ์ สวนลุมพินี และเชิงสะพานปิ่นเกล้า สาเหตุที่ทำให้เด็กเหล่านี้ออกมาเร่ร่อน ได้แก่ ปัญหาครอบครัว ปัญหาจากโรงเรียน และปัญหาที่เกิดจากนายหน้าและเพื่อน เด็กเร่ร่อนเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังชีพอยู่ได้ด้วยการขอทาน การขายของ และการขายบริการทางเพศ เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่มักเสพยาเสพย์ติดประเภทต่าง ๆ เช่น บุหรี่ แล็กเกอร์ ยากล่อมประสาท ยาม้า และเฮโรอีน
การดำเนินชีวิตอยู่บนท้องถนน เด็กเร่ร่อนจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่ายอาทิ เพื่อน ตำรวจ เจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ และครูข้างถนน ซึ่งระดับความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้มีทั้งในลักษณะที่พึ่งพาอาศัย ขอความช่วยเหลือ ช่วยแก้ไขปัญหา และพยายามหลีหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะ
สภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเด็กเร่ร่อน เปรียบเทียบชีวิตของเด็กเร่ร่อน เหมือนกับ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น ”สภาพที่เกิดขึ้นจริงกับเด็กเร่ร่อน รวมถึงแนวโน้มความเสี่ยงที่เด็กเร่ร่อนต้องประสบภายใต้คำจำกัดความสั้นๆที่กล่าวถึงเด็กเร่ร่อนไว้ว่า “ คือกลุ่มเด็กไร้ที่พึ่งพาอาศัยอย่างเป็นสุข มีวิถีชีวิตที่ขาดเสียซึ่งปัจจัยพื้นฐานในการครองชีวิตและยังดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างไร้สวัสดิภาพใดใด ทั้งยังเสี่ยงต่อการกระทำและใช้เป็นเครื่องมือในทางที่ผิด”ซึ่งสามารถขยายความให้เห็นได้เด่นชัด ดังนี้
1. การไร้ที่พึ่งพาอาศัยอย่างเป็นสุข นับแต่ภายในครอบครัวที่ไร้สุขจนอยู่ไม่ได้กระทั่งต้องหนีออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อน ต้องหาที่หลับนอนให้พ้นภัยโดยหลบนอนอยู่บนต้นไม้ บนหลังคาที่พักผู้โดยสารรถเมล์ ในอุโมงค์ใต้ถนนหลบเข้านอนในโป๊ะที่ลอยรับผู้โดยสารอยู่บนตอหม้อใหญ่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาในบ้านร้าง ในที่รกร้างต่างๆ ชานชาลารถไฟ ใต้สะพานลอยหรือสะพานข้ามถนน เช่น สี่แยกสะพานไทย-เบลเยี่ยมสะพานสามย่าน เป็นต้น
2. ขาดเสียซึ่งพื้นฐานในการครองชีวิต โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอ ยาและรักษายามป่วยไข้อาหารที่มีคุณภาพและพอเพียงต่อการพัฒนาร่างกายและสุขภาพ ดังนั้นภาพของเด็กเร่ร่อนที่ตระเวนขอทานและคุ้ยหาเศษสิ่งของตามถังขยะทั่วไป เพื่อใช้ซื้อหรือกินประทังชีวิตจึงเห็นอยู่ทั่วไป พร้อมๆกับร่างกายที่สกปรกมอมแมมด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมที่สวมอยู่ตลอด และสิ่งที่จะต้องตระหนักที่สุดยามป่วยไข้ที่ต้องนอนซมไร้คนดูแลรักษา “จนกว่าจะหายเอง”
3. อยู่ในสังคมอย่างไร้สวัสดิภาพใดใด โดยเฉพาะในเรื่อง”การได้รับโอกาสพัฒนาตนรอบด้าน” ตั้งแต่เรื่องการศึกษา นันทนาการ การฝึกอาชีพ การมีงานทำ การรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยซึ่งสิทธิพื้นฐานเหล่านี้เป็นสวัสดิการที่เด็กไม่ได้รับ ขณะเดียวกัน “สวัสดิภาพ” ที่จะอยู่อย่างปลอดภัยก็มีน้อยขาดเอกสารที่แสดงตัวตนของเด็กซึ่งทำให้ขาดสอทธิต่างๆที่เด็กเร่ร่อนควรพึงได้รับจากรัฐ
4. เสี่ยงต่อการกระทำผิดและถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางร้าย สถานการณ์บนถนน แม้จะทำให้เด็กมีอิสรภาพ ไม่ถูกดุด่าทุบตีจากครอบครัว แต่ก็ยังความเสี่ยงไม่น้อยที่รอคอยเด็กเหล่านี้อยู่ ตั้งแต่การรวมกลุ่มเสพยาเสพติดประเภทสารระเหย จนถึงการถูกผู้ใหญ่บังคับให้ขอทาน สอนให้ลักเล็กขโมย การตกอยู่ในวงจรของการเป็นอาชญากร และตกอยู่ในวงจรทางเพศ ซึ่งเป็นการขายบริการทางเพศให้กับชาวต่างชาติ ชายไทย จึงตกต้องได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ ซึ่งมีเด็กเร่ร่อนหลายชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อของโรคเอดส์
เด็กเป็นกลุ่มประชากรที่ควรได้รับการเลี้ยงดู ให้ความรักความอบอุ่น โดยเฉพาะในวัยแรกเกิด ถึง 1 ปี ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของชีวิต ที่จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่เหมาะสม ตามวัย มีความมั่นคงทางจิตใจ และมีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ เด็กจะเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
จากปรากฏการณ์ที่ผ่านมาจะพบว่าครอบครัวไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ทุกครอบครัว เนื่องจากสถานการณ์ของสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะกระทบต่อสถาบันครอบครัวแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ตามมา ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้ง เป็นปัญหาหนึ่งซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มั่นคงของสถาบันครอบครัว เป็นปัญหาที่เกิดมายาวนาน และนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างหันมาให้ความสนใจ และพยายามหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุ
ประการที่ 1 ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการมีบุตร และสาเหตุนี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักในการที่เด็กถูกทอดทิ้ง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นวัยรุ่น วัยเรียนเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีวุฒิภาวะทางการศึกษาและมักจะเข้าใจเพียงผิวเผินว่า เมื่อมีบุตรแล้วจะสามารถเลี้ยงและประคับประคองการดูแลบุตรได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างยังขาดความพร้อม เช่น ความรู้ความเข้าใจในการมีครอบครัว ฐานะทางการเงิน ยังต้องศึกษาต่อ เป็นต้น ซึ่งทำให้ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอในสังคม
ประการที่ 2 ปัญหาครอบครัวจากการศึกษาพบว่าปัญหาส่วนใหญ่มาจากปัญหาครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการหย่าร้างของพ่อแม่ การใช้ความรุนแรง การทะเลาะกัน การแต่งงานใหม่ของพ่อแม่ เป็นต้น ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ต่างสร้างความกดดันให้เด็ก ดึงความสนใจของพ่อแม่ไปจากตัวเด็ก ทำให้เด็กขาดความรักความอบอุ่นเด็กจึงต้องออกมาเร่ร่อน เพื่อให้พ้นจากสภาพความอึดอัดดังกล่าว จึงต้องยอมรับว่าปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาที่ทำให้เด็กออกมาเร่ร่อนปัญหาหนึ่ง และจากสถิติการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้มีการทอดทิ้งเด็ก เนื่องจากการหย่าร้างทำให้ต้องเลี้ยงดูบุตรเพียงคนเดียว ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถเลี้ยงบุตรได้ เช่น เลี้ยงไม่ไหวเพราะไม่มีเงินพอที่จะส่งเสีย ไม่มีเวลาดูแลบุตรของตน เกี่ยงกันรับผิดชอบในตัวบุตร เป็นต้น
ประการที่ 3 ครอบครัวมีฐานะยากจนเกินกว่าที่จะดูแลเด็ก กล่าวคือ ปัญหาความยากจนในสังคมได้มีผลกระทบทำให้เกิดการทอดทิ้งเด็กเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจถึงขั้นล้มละลายทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ เป็นต้น
ประการที่ 4 การตั้งครรภ์โดยไม่พึ่งประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน จึงไม่ต้องการเลี้ยงเด็กและไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้และเพราะอายคนในสังคม หรือผู้หญิงที่เป็นโสเภณี เพราะเด็กที่เกิดมาจะทำให้ไม่สามารถค้าประเวณีได้ ซึ่งทำให้พวกเขาเหล่านี้ทอดทิ้งเด็ก โดยไม่ได้คำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการทอดทิ้งเด็ก เป็นต้น
ประการที่ 5เด็กที่มีความบกพร่องหรือพิการ และนี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่เป็นที่ต้องการของครอบครัวและถูกทอดทิ้ง พ่อ-แม่ บางรายเมื่อเห็นว่าเด็กมีความบกพร่องหรือพิการก็จะไม่อยากเลี้ยงไม่อยากดูแลเด็กเหล่านี้ เพราะคิดว่าต้องเป็นภาระให้กับตนเองไปตลอด หรืออาจเพราะเด็กที่มีความบกพร่องหรือพิการมีความจำเป็นในการที่ต้องใช้จ่ายในการดูแลเยอะกว่าเด็กปกติ เช่น ค่าดูแลรักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น
ประการที่ 6เด็กไร้สัญชาติ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มชาวเขาและชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 579,239 คน กระจายอยู่ใน 20 จังหวัดภาคเหนือ กลุ่มบุตรหลานของผู้อพยพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า กว่า 700,000 คน และกลุ่มคนไทยไร้สัญชาติไทย ได้แก่ กลุ่มคนไทยเร่ร่อน และคนไทยตามแนวชายแดน บุตรคนเร่ร่อนที่ระบุสัญชาติไทยไม่ได้จะกลายเป็รนเด็กไร้สัญชาติ ซึ่งจะมีปัญหาการรับบริการจากรัฐ
ประการที่ 7ปัญหาจากตัวเด็กเองเด็กวัยรุ่นกำลังอยากรู้อยากเห็น และอยากลอง ต้องการความเป็นอิสระ ต้องการหาประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ ชอบฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ระเบียบต่างๆ รวมทั้งต้องการมีกลุ่ม มีพวกพ้องเพราการมีพวกพ้องเป็นวิถีให้เด็กได้รับตอบสนองความต้องการหลาย ประการ เช่น ความรู้สึกอบอุ่นใจ การได้รับการยกย่อง ความรู้สึกว่ามีผู้เข้าใจตน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับตน จึงเป็นผลให้เด็กเลือกใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านกับเพื่อนมากกว่าอยู่กับพ่อแม่และ รู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำสิ่งต่างๆตามความต้องการของพ่อแม่
ประการที่ 8 ปัญหาจากโรงเรียนจากกการศึกษาพบว่า มีปัญหาหนึ่งนั้นก็คือ ปัญหาจากโรงเรียนเป็นตัวผลักดันให้ออกมาเร่ร่อนด้วย โดยเรียนที่มีระบบการผลักดันให้เด็กออกจากโรงเรียนโดยไม่รู้ ตัว เช่น การเข้มงวด ดุด่าประจานห น้าเสาธง ไม่ยืดหยุ่นผ่อนปรนในบางเรื่อง เช่น การแก้ 0 แก้ ร ไม่ทันเวลา บางครั้งถูกครูลงโทษโดย ไม่มีเหตุผล ถูกทำให้ได้รับความอับอายที่โรงเรียน ถูกประณามว่าเป็นเด็กไม่ดี เป็นคนเลว ทำให้เด็กต้องการเป็นคนเลวไปจริงๆ ไม่สมควรที่จะเรียนหนังสือ หรืออยู่บ้านอีกต่อไป จึงเป็นเหตุให้เด็กหนีออกมาเร่ร่อน
ผลกระทบต่อปัญหาเด็กเร่ร่อนในการพัฒนาประเทศ
– ผลกระทบต่อเด็ก
1. เด็กจะเกิดปัญหาการไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ติดยาเสพติด การติดเชื้อเอดส์ และพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม มีครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งยังไม่มีความพร้อมด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์ และ ความสามารถในการเลี้ยงดูลูก การทำแท้ง การทอดทิ้งเด็ก อีกทั้งการใช้ความรุนแรงในครอบครัวตามมา กลายเป็นวงจรของปัญหาที่ไม่สิ้นสุด
2. เด็กที่ถูกทอดทิ้งเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในครอบครัวจึงต้องออกทำงาน นำมาซึ่งปัญหาการใช้แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ถูกละเมิดสิทธิและทำทารุณกรรม อีกทั้งเกิดกระบวนการล่อลวงและค้าเด็กเพื่อค้าประเวณีที่มีรูปแบบซับซ้อนมากขึ้น หรือเด็กขายบริการทางเพศด้วยความสมัครใจมีอายุน้อยลง คือ 13-15 ปีมากขึ้น (ศูนย์การศึกษาเพื่อเด็กด้อยโอกาส คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
3. เด็กไม่สามารถเข้าถึงบริการของรัฐและสิทธิที่ควรจะได้รับ โดยเริ่มตั้งแต่คลอด เมื่อพ่อแม่ของเด็กพาเด็กมาให้ตายายเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัด ปัญหาที่เราพบเสมอคือเด็กไม่มีหลักฐานการเกิด เนื่องจากแม่เด็กไม่ได้ทิ้งเอกสารไว้ให้หรือบางคนไม่ได้แจ้งเกิดให้กับลูก ทำให้เด็กหลายคนไม่สามารถเข้าถึง บริการของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล หรือการศึกษา
4. ปัญหาต่อมาจะเกิดขึ้นกับเด็กในช่วงวัยก่อนเรียน เด็กจำนวนมากยังอยู่ในภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากตายายขาดความรู้ในการเลี้ยงดูเด็กและความยากจนทำให้ไม่มีเงินที่จะซื้อนมให้เด็ก บาง ครั้งต้องกินน้ำข้าวแทนนม เด็กจึงขาดสารอาหาร ทำให้เด็กหลายคนมีพัฒนาการล่าช้ากว่าวัย เป็น โรคแทรกซ้อนต่างๆ รวมทั้งมีผลต่อระดับสติปัญญาและพิการได้
– ผลกระทบต่อสังคม
1.ด้านการศึกษา
ซึ่งจะเรียกว่าเป็นวิกฤตการณ์ทางการศึกษาเพราะเด็กเร่ร่อนมีเป็นจำนวนมากจากซึ่งในข้อมูลประมาณ30,000คน เป็นเด็กเร่ร่อนไม่ได้เข้าเรียนหนังสือหรือเรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ ทำให้เด็กที่กลายเป็นเด็กเร่ร่อนนั้นไม่ได้รับการศึกษาอย่างดีเท่าที่ควร
2. ด้านสิทธิและเสรีภาพ
– ปัญหาเด็กถูกละเมิดสิทธิ เด็กถูกทารุณ ถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ เด็กถูกละเมิดทางเพศ ซึ่ง พบว่าเด็กที่ถูกกระทำจะมีอายุน้อยลง การละเมิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น
– ปัญหาแรงงานเด็กพบว่าปัจจุบันมีเด็กถูกใช้แรงงาน ปัญหาโสเภณีเด็กซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งหญิงและ ชายจากการสำรวจข้อมูลผู้ให้บริการทางเพศทั่วประเทศพบว่ามีแนวโน้มว่าเด็กผู้ชายจะขาย บริการทางเพศเพิ่มขึ้น
– ปัญหาที่น่าวิตกไม่แพ้กันคือปัญหาเด็กกำพร้าและเด็กถูกทอดทิ้งจำนวนสูงถึง 1.4 แสนคน หรือ ค่าเฉลี่ยของเด็กถูกทอดทิ้งต่อวันคือวันละ 5 คน
3.ด้านสังคม
การใช้ยาเสพติด เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่มีประสบการณ์การใช้ยาเสพติด ทั้งกาว ยาบ้า กัญชา หรือ แม้กระทั่ง เฮโรอีน มาก่อนที่จะทำอาชีพนี้ ทั้งโดยเพื่อนชักชวน และ ความอยากลองของตนเอง ทั้งๆที่เด็กทราบถึงผลร้ายของสารเสพติดเป็นอย่างดี และรวมไปถึงการลักขโมย ปัญหา อาชญากรรม ซึ่งเด็กเร่ร่อนเหล่านี้ก็ต้องการอาหารซึ่งกลายมาเป็นปัจจัยมาสู่การเป็นขโมยได้
การแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนอย่างยั่งยืน
1. ด้านการพัฒนาเด็ก รัฐควรมีกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตเพื่อให้เด็กพึ่งตนเองให้ได้ในอนาคต
2. ด้านการพัฒนาบุคลากร รัฐควรมีมาตรการในการช่วยพัฒนาครูและเจ้าหน้าที่ประจำบ้านให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดใน พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และรัฐควรมีการสร้างองค์ความรู้ เสริมทักษะและศักยภาพแก่ครูและเจ้าหน้าที่ประจำบ้านในเรื่องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
3. ด้านนโยบาย รัฐควรกำหนดยุทธศาสตร์ในการดูแลเด็กเร่ร่อนและเด็กด้อยโอกาสที่เข้ามาอยู่ในบ้านแรกรับและบ้านพัฒนาเด็กทั้งของภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นองค์รวม และรัฐควรสนับสนุนการดำเนินงานของบ้านแรกรับและบ้านพัฒนาเด็กที่ดำเนินงานโดยองค์กรเอกชนเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนของรัฐเป็นไปอย่างครอบคลุม โดยรัฐควรสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานขั้นต่ำประมาณ 7,000-37,000 บาท ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 73-83 บาทต่อเด็กหนึ่งคนต่อวัน
4. รัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานกับเด็กเร่ร่อนอย่างเป็นองค์รวม ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานสอดประสานแบบบูรณาการ
5. หน่วยงานหรือองค์กรที่ทำงานด้านครอบครัวต้องหาทางแก้ไขครอบครัววัยรุ่น ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ
6. ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณการทำงานของครูข้างถนน ทั้งภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนให้ครอบคลุมและเพียงพอต่อจำนวนเด็กเร่ร่อน
7. ต้องเร่งบรรจุครูข้างถนนที่อยู่ในส่วนของหน่วยงานรัฐให้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เพื่อสร้างความมั่นคงและขวัญกำลังใจในการทำงาน เนื่องจากปัจจุบันครูข้างถนนของภาครัฐเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้น เมื่อบรรจุแล้วจะสามารถรับรองเอกสารต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับสิทธิทางการศึกษาและการรักษาพยาบาลได้
”ขณะนี้เด็กเร่ร่อนทั่วประเทศมี 30,000 คน แต่ครูข้างถนนของภาครัฐที่ทำงานกับเด็กเร่ร่อนไม่ถึง 100 คน แบ่งเจ้าหน้าที่รัฐของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกรุงเทพมหานคร ส่วนครูข้างถนนจากองค์กรพัฒนาเอกชนมีไม่เกิน 20 คน ดังนั้น การช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนจึงเกิดความล่าช้า และไม่สามารถป้องกันปัญหาได้ทันการณ์”
ทั้งนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 52 ว่า เด็กและ เยาวชนซึ่งไม่มีผู้ดูแลมีสิทธิได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอบรมที่เหมาะสมจากรัฐ ทว่ารูปธรรมในทางปฏิบัติของบ้านแรกรับและบ้านพัฒนาเด็กกลับยังไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ ภายใต้บริบทของสถานการณ์เงินบริจาคที่ลดน้อยถอยลง กอปรกับการเปิดเสรีอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ นับวันโจทย์ในการดูแลเด็กเร่ร่อนก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายสังคมไทยมากขึ้นทุกขณะ
คุณค่าผลงานต่อสังคม
เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาของเด็กเร่ร่อนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในสังคม เป็นการเปิดเผยความจริงของเด็กเร่ร่อนให้สังคมได้รับรู้ ว่าพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะให้หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบต่อด้านนี้และประชาชนทั่วไปยื่นมือเข้ามาช่วยหาแนวทางในการช่วยเหลือเด็กเร่รอ่นในสังคมให้ลดน้อยลงและช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนให้มีได้มีโอกาสในด้านต่างๆเท่ากับเด็กทั่วไป ทั้งนี้ยังเป็นข้อฉุดติดให้ผู้ปกครองดูแลเอาใจใส่บุตรหลานของตัวเองมากขึ้น เพราะเนื่องปัญหาส่วนใหญ่ของเด็กเร่ร่อนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเรานั้นเกิดจากปัญหาครอบครัวถ้ามีสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้น ก็จะช่วยลดปัญหาเด็กเร่ร่อนได้
แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง
1. บ้านแรกรับและบ้านพัฒนาสำหรับเด็กเร่ร่อน
2. มูลนิธิกระจกเงา
3. สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
4. เด็ก ประชาชนที่อยู่ตามใต้สะพานลอย สวนสาธารณะ แลในสถานที่ต่างๆ
คำถามในการถามแหล่งข่าว
1. บ้านแรกรับและบ้านพัฒนาสำหรับเด็กเร่ร่อน
– ทางบ้านแรกรับและพัฒนาเด็กอ่อนมีวิธีการพัฒนาเด็กอ่อนอย่างไร
– งบประมาณที่ใช้จ่ายแต่ละเดือนเท่าไร
– ปัญหาเด็กเร่ร่อนที่มาที่บ้านแห่งนี้ส่วนมากเป็นปัญหาอะไร
– เด็กที่มาที่บ้านแห่งนี้ส่วนมากอายุเท่าไร
– องค์ใดให้การสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายมากที่สุด
– ปัญหาเด็กเร่รอนมีผลกระทบต่อสังคมในด้สนใดบ้าง
– ปัจุจบันมีเด็กที่ออกไปแล้วส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพ การทำงานและความ เป็นอยู่มากน้อยเพียงใด
2. มูลนิธิกระจกเงา
– งบประมาณที่ใช้ในการดูแลมูลนิธิกระจกเงาต่อเดือนเท่าไร
– คิดว่าปัญหาเด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาอะไร
– มูลนิธิมีการส่งเสริมเด็กในด้านใดบ้าง
– ปัญหาเด็กเร่ร่อนมีผลกระทบต่อสังคมอย่างไรบ้าง
– แนวโน้นของเด็กเร่ร่อนในสังคมมีทิศทางเป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นหรือลดลง
– ปัจุจบันมีองค์กรให้ความช่วยเหลือมูลนิธิกระจกเงากี่องค์กร
– ทางมูลนิธิมีเด็กเร่ร่อนทั้งหมดกี่คน และมีคนในองค์กี่คนที่ช่วยในการดูและเด็กเร่รอน
– เด็กที่ได้ออกจากมูลนิธิไปแล้วมีความสำเร็จทางด้านอาชีพการงาน และความเป็นอยู่มากน้อยเพียงใด
3. สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
– งบประมาณที่ใช้ในการดูแลสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าต่อเดือนเท่าไร
– คิดว่าในปัจุจบันเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นหรือลดลง
– ปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดเด็กกำพร้าคืออะไร
– ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้มีปัญหามากน้อยเพียงใด
– หน่วยงานใดที่ให้การสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
– ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามี่เด็กกำพร้าทั้งหมดประมาณกี่คน
– ทางสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามีวิธีการเรียนการสอนเด็กแบบใดและไปในรูปแบบไหน
– ต่อเดือนมีผู้มารับอุปการะเลี้ยงดูเด็กกำพร้าเดือนละกี่คนส่วนใหญ่เป็นเพศไหนมากกว่ากัน
4. เด็ก ประชาชนที่อยู่ตามใต้สะพานลอย สวนสาธารณะและที่ต่างๆ
– ทำไมถึงมาอยู่ตามที่แห่งนี้
– ทำไมจึงไม่ไปอยู่ในมูลนิธิต่างๆที่เขามีห้องให้อยู่ อาหารให้กิน มีการอบรมการเรียนการสอนและการพัฒนาอาชีพ
– ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นคือปัญหาอะไร
– มาอยู่นานหรือยัง
– มีการหารายได้จากไหนเป็นหลัก
– ทางบ้านว่ายังไงที่มาอยู่ที่นี้
– มีองค์กรเข้ามาดูและหรือให้การสนับสนุนบ้างหรือเปล่า
– ในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายเท่าไร
– อาศัยอยู่ที่เดิมหรือเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ
– ปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่คือปัญหาอะไร
ลักษณะของคำถามที่ใช้
เป็นคำถามที่กระชับ ได้ใจความ ตรงไปตรงมา ถามถึงตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา มีความชัดเจน