Archive | Uncategorized RSS feed for this section

News Center

18 พ.ย.

แบงก์ชาติจับตา 3 ปัจจัยเสี่ยง ทุบเศรษฐกิจไทยปีหน้า เผยทั่วโลกระทึก! Fiscal cliff ยันยังไม่พบแรงเก็งกำไรอสังหาฯ

15 November 2555

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2556” ซึ่งจัดโดย นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ว่า เศรษฐกิจไทยระยะต่อไปยังต้องติดตามดูใน 3 ปัจจัยสำคัญ คือ แนวโน้มการฟื้นตัวและพัฒนาการด้านต่างๆ ของเศรษฐกิจโลก โดยสิ่งที่ทั่วโลกกำลังเฝ้าติดตามกันอยู่ในขณะนี้ คือ ปัญหาหน้าผาการคลัง(Fiscal cliff) ของทางสหรัฐ ว่าสหรัฐจะต่ออายุมาตรการกระตุ้นทางการคลังออกไปอีกหรือไม่

“แม้ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะชี้ว่า ทางการจะยังสานต่อแนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำอยู่ต่อไป แต่กระบวนการทางการเมืองสู่ข้อสรุปเพื่อต่ออายุมาตรการเหล่านี้อาจไม่ง่ายนัก โดยทางการสหรัฐฯ ประเมินว่าหากภาคการเมืองไม่สามารถตกลงกันได้และมาตรการดังกล่าวต้องสิ้นสุดลง เศรษฐกิจสหรัฐฯ คงจะกลับสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในปีหน้า ซึ่งคาดว่จะหัดตัว 0.32%”นางผ่องเพ็ญกล่าว

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ ธปท. ติดตามดูภาพรวมเศรษฐกิจโลกขณะนี้ ยังเป็นไปในทิศทางเดิมไม่ได้ต่างจากช่วงที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ได้ประเมินไว้ในครั้งก่อนมากนัก และแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเองมีแนวโน้มว่าจะแย่ลง ทำให้ภาพรวมไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก

ส่วนปัจจัยที่ 2 ที่ต้องติดตามดู คือ การไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายมาในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก และเงินทุนที่ไหลเข้านี้ย่อมสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อค่าเงินและสินทรัพย์อื่นๆ

 

อย่างไรก็ตามการไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายเหล่านี้ อาจไม่ได้ไหลเข้าประเทศไทยจนสร้างแรงกดดันเหมือนที่เคยเผชิญเมื่อปี 2553 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจประเทศอื่นในภูมิภาค แม้มีอัตราการเติบโตที่ดีแต่ก็ไม่มากเท่าในปี 2553 ขณะเดียวกันนักลงทุนมีทางเลือกในการกระจายลงทุนไปยังตลาดในภูมิภาคอื่น เพราะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

“ถ้าเทียบผลตอบแทนกับความเสี่ยงแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนตลาดแถบละตินอเมริกาจะได้รับความสนใจเพิ่ม เพราะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ขณะที่ผลตอบแทนได้มากกว่า เงินจึงเริ่มไหลเข้าไปลงทุนในละตินอเมริกากันมาก ช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทได้ด้วย”นางผ่องเพ็ญกล่าว

นอกจากนี้ ถ้าดูราคาสินทรัพย์หลายๆ ตัวของไทย เช่น อัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้น(พี/อี) จะเห็นว่าเริ่มสูงขึ้นมาก ล่าสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 17-18 เท่า สูงกว่าราคาเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังในอดีตซึ่งอยู่ที่ 13.3 เท่า ทำให้โอกาสในการทำกำไรจึงลดน้อยลงด้วย ขณะเดียวกัน ธปท.ก็มีมาตรการสนับสนุนให้นักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศ จึงลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทลงได้

ส่วนปัจจัยสุดท้าย คือ การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ทั้งจากภาคธุรกิจและครัวเรือน ที่เป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เศรษฐกิจโลกและการส่งออกยังอ่อนแอ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ แต่ระยะต่อไปเมื่อผลของมาตรการเหล่านี้ทยอยหมดลง คงต้องจับตาการดำเนินมาตรการเสริมด้านอื่นๆ รวมทั้งการใช้จ่ายด้านต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ ว่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2556 นั้น เชื่อว่าภาคการส่งออกยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงบ้าง แต่การจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ทั้งด้านการบริโภคและการลงทุน ยังสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษบกิจไทยในปีหน้าให้เติบโตที่ 4.6% ได้

นักลงทุนยังกังวลปัจจัยต่างประเทศฉุดหุ้นไทยปิดร่วง 5.43 จุด

13 November 2555 17:11

แต่นักลงทุนชาวต่างชาติก็ยังมีความกังวลในการลงทุนที่ประเทศไทย เพราะบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันที่ 13 พ.ย. ดัชนีปรับลดลงทันทีที่เปิดตลาด จากนั้นก็อ่อนตัวในแดนลบตลอดการซื้อขาย หลังไม่มีปัจจัยบวกกระตุ้นการลงทุน รวมถึงเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปิดลดลง โดยระหว่างวันดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นสูงสุดที่ 1,293.15 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 1,283.70 จุด จนมาปิดตลาดที่ 1,289.07 จุด ลดลง 5.43 จุด หรือคิดเป็นร้อยละ 0.42 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 38,857.70 ล้านบาท ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 379.95 จุด ลดลง 1.30 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1,007.88 ล้านบาท ด้านสัดส่วนการลงทุนแบ่งเป็นนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิที่ 2,732.74 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 1,161.47 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิที่ 27.42 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 3,921.63 ล้านบาท

 

ด้าน น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผอ. อาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบๆ และอ่อนตัวในแดนลบ ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลปัจจัยต่างประเทศ ทั้งภาวะหน้าผาทางการคลังของสหรัฐ และปัญหาหนี้สินในกรีซ ซึ่งต้องติดตามว่ากรีซจะได้รับเงินช่วยเหลือได้ทันภายในวันที่ 16 พ.ย.นี้หรือไม่

 

ส่วนแนวโน้มวันที่ 14 พ.ย.นี้ มองว่า ดัชนียังแกว่งตัวผันผวน เพราะขาดปัจจัยบวกใหม่ๆ กระตุ้นการลงทุน โดยต้องติดตามความคืบหน้าของปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐ และกรีซ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,270-1,300 จุด ด้านกลยุทธ์ ผู้ที่มีหุ้นอยู่แล้วแนะนำถือต่อ หรือปรับสถานการณ์ลงทุนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น.-สำนักข่าวไทย

Rewrite ยาเสพติด

18 พ.ย.

โครงสร้าง

เริ่มด้วยการเกริ่นเนื้อเรื่อง คือปัญหาของยาเสพติด หลังจากนั้นจะเป็นข้อมูลของงานทั้ง 8 กลุ่ม เริ่มที่ จุดอันตรายในพื้นที่เสี่ยงจังหวัดปทุมธานี, ยาไอซ์และแนวโน้มความนิยมของวัยรุ่น, เส้นทางอาชญากรรมเยาวชนอาชีวะ, ข้าราชการที่พัวพันกับยาเสพติด, แพะรับบาป, งบประมาณเงินอุดหนุนด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด, โครงการค่ายบำบัดฟื้นฟูผู้เสพและผู้ติดยาเสพติด และสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด

Rewrite ปัญหาเยาวชนกับยาเสพติดในพื้นที่จ.ปทุมธานี

ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานในประเทศไทย และดูเหมือนว่ารัฐบาลหลายสมัยที่ผ่านมาจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหานี้ แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จและไม่เคยปราบปรามไปได้หมดเลยสักครั้ง

จังหวัดปทุมธานีก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีอัตราการเกิดคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเยอะมาก เนื่องจากจังหวัดปทุมธานีนั้นเป็นบริเวณปริมณฑลและอยู่ใกล้กับกรุงเทพมหานครฯ จึงมีคดีมากมายที่เกี่ยวกับยาเสพติดเกิดขึ้นที่นี้ ส่วนหนึ่งคงมาจากจังหวัดปทุมธานีเองเป็นพื้นที่ที่เป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด จึงกลายเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่จะเห็นข่าวคราวเกี่ยวกับยาเสพติดบ่อยมาก

จังหวัดปทุมธานีเองเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่เสี่ยงในการที่จะพบเจอปัญหายาเสพติดมากที่สุดอีกจังหวัดหนึ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ 7 อำเภอ คือ 1. อำเภอเมืองปทุมธานี สภาพปัญหาที่พบคือ การค้า และแพร่ระบาด 2. อำเภอคลองหลวง สภาพปัญหาที่พบคือ มีการลำเลียง พักยา การค้าและ แพร่ระบาด 3. อำเภอธัญบุรี สภาพปัญหาที่พบ คือ มีการลำเลียง พักยา การค้า และการแพร่ระบาด 4. อำเภอลำลูกกา สภาพปัญหา ที่พบคือ มีการลำเลียง การค้า แพร่ระบาด 5. อำเภอลาดหลุมแก้ว สภาพปัญหาที่พบคือ มีการลำเลียง การค้า แพร่ระบาด 6. อำเภอสามโคก สภาพปัญหาที่พบคือ มีการลำเลียง การค้า แพร่ระบาด 7. อำเภอหนองเสือ สภาพปัญหาที่พบคือ การค้า และแพร่ระบาด ซึ่งพื้นที่เหล่านี้จำเป้ฯที่จะต้องจับตาเผ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพื้นที่อำเภอคลองหลวง ที่มีสถานศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่มีจำนวนนักศึกษาอยู่มาก จึงมีความเสี่ยงและเป็นพื้นที่อันตรายมากที่สุด

สำหรับยาเสพติดที่มีความเสี่ยงว่าจะมีแนวโน้มการเสพเพิ่มมากขึ้นคงจะเป็น “ยาไอซ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของนักศึกษา ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเขตพื้นที่อำเภอคอลงหลวงที่มีสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาถึง 2 สถาบันนั้น เนื่องจาามีความเชื่อที่ว่าการเสพยาไอซ์จะทำให้ผอม ผิวสวย ขาวใสและหุ่นดีขึ้น ซึ่งนั่นเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ เพราะนอกจากยาไอซ์จะมีราคาสูงถึงกรัมละ 2,000 – 4,000 บาทแล้ว ยังเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพมากกว่าคนทั่วไปอีกหลายเท่าตัว

ซึ่งจากการพบว่ามีการแพร่ระบาดของยาเสพติดที่มีจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จะพบว่าล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่พักอาศัย ห้างสรรพสินค้าแสถานที่ที่กลุ่มวัยรุ่นนิยมพบปะสังสรรค์กัน เมื่อเกิดการรวมกลุ่มกันแล้วก็จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีก็คือ การทะเลาะวิวาทและยกพวกตีกันของกลุ่มเยาวชน แต่ที่น่าแปลกใจก็คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากกลุ่มเยาวชนเหล่านั้น มักจะมีอาวุธปืนเข้ามาด้วยเสมอ จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าทำไมเยาวชนเหล่านั้นถึงสามารถพกพาอาวุธปืนได้ หรือว่ามันสามารถหาได้ง่ายดายมาก

สาเหตุอย่างหนึ่งที่คงพอจะเป็นคำตอบสำหรับเรื่องเหล่านี้ได้ก็คงหนีไม่พ้นยาเสพติด การเดินทางเข้าสู่เส้นทางนั้นก็เริ่มต้นจากการนำเงินไปซื้อยาเสพติดให้กับคนรู้จัก หลังจากนั้นก็จะมีวิธีการหาเงินจากทางด้านอื่น ๆ อย่างเช่น การพนัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนันฟุตบอล ซึ่งสามารถพบเจอได้ง่ายมาก หากเลวร้ายไปกว่านั้นก็คือการเป็นโจร เริ่มจากการหาเงินโดยการขโมยทรัพย์สินของคนในครอบครัว และไปจนถึงการขโมยของผู้อื่น เพื่อหาเงินมาเสพยาเสพติดหรือซื้ออาวุธปืนไว้ในครอบครอง โดยอาจจะซื้อได้จากกลุ่มคนในวงการที่ทำเรื่องผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน

เมื่อมีการพบปะพบเจอกับกลุ่มคนมากมายที่เกี่ยวข้องกันในเรื่องยาเสพติดมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือการเข้าไปพัวพันกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นข้าราชการในพื้นที่นั้น อย่างเช่น อบจ. หรือข้าราชการทหารหรือตำรวจ โดยที่ส่วนใหญ่ที่พบและสามารถจับกุมได้นั้นจะพบมูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท โดยกลุ่มข้าราชการเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการกระทำผิดที่เกิดจากเยาวชนทั้งสิ้น

ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีการแจ้งเข้ามาอีกว่าในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีนั้น พบว่ามีข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่หักเงินงบประมาณในการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดสูงถึง 30% ทำให้งบประมาณที่ลงไปสู่พื้นที่จริง ๆ นั้นเหลือน้อยลง และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยก็ไม่สามารถที่จะปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ เพราะนอกจากงบประมาณไม่เพียงพอแล้ว ผู้มีอำนาจเองก็ยังให้การสนับสนุนการกระทำผิดเหล่านี้อีกด้วย

เมื่อหน่วยงานมีสีเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดแล้ว ย่อมแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่เองก็ต้องทำหน้าที่ในการรักษาความถูกต้องอีกด้วย เมื่อหน้าที่ทั้ง 2 ขัดแย้งกัน สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ การทำให้เรื่องผิดกลายเป็นถูก โดยการหาแพะรับบาปในการโยนความผิดที่เกิดขึ้น และกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดก็คือกลุ่มของเยาวชนที่หลงผิดได้ง่าย สิ่งยั่วยุต่าง ๆ ก็มีเยอะแยะมากมาย นอกจากนั้นแล้วในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีนั้น กลุ่มที่มีความเสี่ยงอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มของแรงงานต่างชาติ ที่ชอบรวมกลุ่มกันมั่วสุม จึงเป็นที่มาที่ว่าทำไมตำรวจจึงชอบจับแรงงานต่างด้าวในข้อหาค้ายาเสพติด ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่มีความผิดใด ๆ

และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นมานั้น รัฐบาลเองก็ได้พยายามที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามแต่ละพื้นที่ ซึ่งสิ่งที่มีความจำเป้ฯเป็ฯอย่าวงมากก็คือเรื่องของเงินงบประมาณสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยได้จัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีจุดมุ่งหมายเพื่อยับยั้งและกำจัดยาเสพติดให้หมดไป

ถึงแม้ว่าจะมีการโกงเงินงบประมาณที่รัฐบาลให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกันบ้าง แต่งบประมาณอันน้อยนิดที่ไปถึงผู้ปฏิบัติงานก็แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ไม่หมดอยู่ดี ในปีหนึ่ง ๆ รัฐบาลต้องเสียเงินงบประมาณแผ่นดินไปกับการแก้ไขปัญหาดังกล่าวถึง 2,000 กว่าล้านบาท ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มหาศาล แต่ก็ยังมาสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างจริงจังอยู่ดี

และแน่นอนว่าเงินงบประมาณที่ได้มานั้นส่วนหนึ่งก็ถูกนำมาใช้ในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ซึ่งในจังหวัดปทุมธานีเองก็คือ ค่ายบำบัดฟื้นฟูสรรถภาพผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดลาดหลุมแก้ว เป็นศูนย์ควบคุมแห่งเดียวในสังกัดกรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ตั้งอยู่เลขที่ 99 หมู่ 3 ตำลบคูบางหลวง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานีเป็นหน่วยงานที่มีมาตรฐานด้านการฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดและเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของบุคลากรตามกฎหมาย บังคับบำบัดภาย ในปี พ.ศ.2556 โดยมีพันธกิจหลักคือการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดอย่างมีมาตรฐาน ส่งเสริมและสนับสนุนการนำครอบ-ครัวและเครือข่ายชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการฟื้นฟูฯสงเคราะห์ผู้เข้ารับการฟื้นฟูฯ ทั้งในระหว่างและหลังพ้นการฟื้นฟูฯ ซึ่งสะดวกต่อเยาวชนที่กระทำผิดและต้องการเข้ารับการบำบัด เพราะที่ศูนย์แห่งนี้เคยทำการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดห้ออกไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติแล้วถึงจำนวน 1,574 คน

นอกจากโครงการบำบัดฟื้นฟูของค่ายบำบัดฟื้นฟูสรรถภาพผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดลาดหลุมแก้วแล้ว ยังมีสถานบำบัดผู้ติดยาอื่น ๆ อีกมามายในเขตพื้นที่ปทุมธานี บำบัดรักษา คือ รพ.คลองหลวง ,รพ.ธัญญารักษ์ ,รพ.ธัญบุรี ,รพ.ปทุมธานี ,รพ.ประชาธิปัตย์ ,รพ.ลาดหลุมแก้ว ,รพ.ลำลูกกา ,รพ.สามโคก ,รพ.หนองเสือ ,รพ.รังสิต ,คลินิกพิศาลบุตร ,และศูนย์ฟื้นฟูชีวิตผู้ติดยาเสพติดคอมมูนิต้าอินคอนโทร ซึ่งผู้ที่เข้ามารับการบำบัดนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ กลุ่มผู้ที่มีความสมัครใจจะบำบัดและไม่สมัครใจบำบัด ซึ่งระยะในการบำบัดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้ป่วยว่าเป็นอย่างไร มีอาการแทรกซ้อนหรือมีอาการทางจิตร่วมด้วยหรือไม่

ปัจจุบัน “การบำบัดรักษา” ถือเป็นทางเลือกสำคัญที่บุคคลใกล้ชิด ควรแนะนำกับผู้ป่วยยาเสพติด ไม่เพียงดีกับสุขภาพ แต่ยังรวมถึงอนาคตที่จะมีโอกาสกลับคืนสู่สังคมไปใช้ชีวิตตามปกติด้วย

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าสถานการณ์ยาเสพติดเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวอย่างมาก ถึงแม่อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรงกับผู้ที่ไม่ได้เสพหรือค้า แต่หากมองให้ลึกซึ้งมันก็อยู่รอบตัวเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงก็คือเหล่าเยาวชน เพราะในจังหวัดปทุมธานีนั้นมีสถานศึกษาและหอพักอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีความเสี่ยงที่จะเข้าไปพัวพันทั้งแบบตั้งใจและไม่ตั้งใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องจะให้ความสำคัญและดูแลเยาวชนอย่างใกล้ชิด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสังคมอื่น ๆ ที่จะตามมาอีกด้วย

วิจารณ์ละครแรงเงา

11 พ.ย.

         

       

หลังจากที่ ละครเรื่อง   “แรงเงา” ที่ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ในวันจันทร์และอังคาร ซึ่งกระแสของละครแรงเงา กำลังกลายเป็นประเด็นร้อน ด้วยเนื้อหา บทสนทนาที่รุนแรง ก็เกิดการร้องเรียนจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย ที่จะให้ละครเรื่องนี้ออกอากาศในช่วงเวลาดังกล่าว โดยเฉพาะ นายจเด็จ เชาน์วิไล ผู้อำนวยการ มูลนิธิหญิงไทยก้าวไกล กล่าวว่า ละครเรื่องนี้ ส่งผลกระทบที่เห็นชัดเจนในสังคม   คือ  เนื้อหาของละคร ตอกย้ำค่านิยมเดิมๆ เกี่ยวกับผู้ชายเป็นใหญ่ในครอบครัว และมีภรรยาได้หลายคน ขณะเดียวกันยังตอกย้ำเรื่องการแก้ปัญหา ให้ฝ่ายผู้หญิงเป็นคนหาทางออกเอง เช่น ภรรยาไปตามล่ากิ๊กสามี ส่วนผู้หญิงอีกฝ่ายตามมาล้างแค้น ซึ่งไม่ใช่ทางออกที่สร้างสรรค์

และแล้ว ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้กับกรณีที่ เด็กหญิงวัย  8  ปี เล่นแขวนคอโดยนำเศษผ้าและเชือกมาผูกเป็นห่วงกับต้นหูกวาง เลียนแบบละครเรื่องแรงเงา เมื่อวันที่  25 ตุลาคม ที่ผ่านมา  โดยพ่อของเด็ก เผยว่า เด็กถูกส่งตัวไปรักษาที่ รพ.รามาธิบดี เนื่องจากหมดสติ ขาดอากาศหายใจนานกว่า 10 นาที แต่ล่าสุด อาการดีขึ้น ถอดเครื่องช่วยหายใจแล้ว แต่ต้องประเมินความเสียหายทางสมองอีกครั้งว่าเป็นอย่างไร จึงตั้งข้อสังเกตว่า ละคร และรายการทีวีที่มีการนำเสนอเรื่องราวของการแขวนคอตายนั้น คือ คนอวดผี และละครแรงเงา ซึ่งเพื่อนของเด็กก็มาบอกกับตนว่า ก่อนเกิดเหตุเด็กหญิงบอกว่าจะไปเล่นแขวนคอ

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ จากฝ่ายส่งเสริมสุขภาพเด็กและวัยรุ่น ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงภัยร้ายที่เกิดกับเด็กจากการดูโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ว่า ขอเรียกร้องให้สื่อโทรทัศน์และสื่อไอทีเอาจริงกับการจัดเรตติ้ง และจำกัดการออกอากาศรายการที่มีความรุนแรง และผู้ปกครองควรตรวจสอบรายการที่ลูกดู ให้คำแนะนำเด็กขณะดู เพราะเด็กจะมีพฤติกรรมเลียนแบบ ขาดความยั้งคิดได้ง่าย มีแนวโน้มลงมือกระทำตามได้

       จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่เด็กหลอกเรียนแบบจากละครทีมีเนื้อหารุนแรง เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่ละครแรงเงาเพียงเรื่องเดียวที่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อนมีอีกหลายเรื่องที่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เด็กหลอกเรียนแบบตัวละครในเรื่องทำให้เกิดการศูนย์เสียต่อครอบครัวของผู้ของผู้เสียหายเป็นอย่างมาก เพราะเด็กหลอกเรียนแบบตัวละครแล้วมีการผูกคอตายแต่ไม่ตายครอบครัวของผู้ที่เสียหายใครจะได้รับความรับผิดชอบจากเหตุการณ์ดังกล่าวจาก ผู้จัดละครหรือไม่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้จัดละครแล้วครอบครัวของผู้เสียหายจะได้รับความความยุติธรรมจากฝ่ายใดเพราะเนื้อหายละครมีเนื้อหาที่รุนแรงไม่เหมาะกับเด็กอายุ8ขวบแต่เมื่อเด็กได้ดูละครแรงเงาก็ควรมีผู้ปกครองดูและด้วยเพราะเนื้อหาในละครไม่เหมาะกับเด็กอายุ8ขวบที่จะดูละครเรื่องนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าวผู้ปกครองก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่ปล่อยให้ลูกตัวเองดูละครเรื่องนี้

       เนื้อหาส่วนใหญ่ของละครเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเมียน้อยและเมียหลวงที่ตบตี ทะเลาะกันเพราะผู้ชายคนเดียวแล้วก็ได้มีการแก้แค้นของตัวละครในเรื่องเนื้อหาในส่วนนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอายุน้อยอย่างเด็กคนนี้เพราะเด็กคนนี้อายุยังน้อยยังไม่เข้าใจเนื้อหาสาระของละครเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องแบบใด เนื้อหาของละครเรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่สะท้อนชีวิตของครอบครัวบางครอบครัวที่มีปัญหาในเรื่องเมียน้อย และเมียหลวงและการศูนย์เสียคนที่เรารักไม่ว่าจะเป็น สามีหรือพี่และคนในครอบครัวตัวเองจากเหตุการณ์ดังกล่าวผู้จัดควรจะนำเสนอละครที่ไม่มีฆ่าตัวตายออกอากาศตอนกลางคืนเพราะมีคนรอดูละครตอนกลางคืนเยอะแต่เหตุการณ์ดังกล่วก็เป็นบทเรียนให้กับผู้จัดละครในเรื่องต่อไปว่าไม่ควรมีเนื่้อหาที่รุนแรงขนาดนี้และก่อนที่ละครจะออกอากาศควรมีการให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดเรดของละครว่ามีเนื้อหาส่วนไหนที่ไม่ควรนำเสนอให้ตัดออกจะได้ไม่เกิดเหตุกาณ์แบบนี้ขึ้นอีกในครั้งหน้า

รูปจากเว็บ :http://www.google.co.th/imgres?um=1&hl=th&sa=N&tbo=d&biw=1440&bih=735&tbm=isch&tbnid=oyJZOquo5Iy0PM:&imgrefurl=http://news.mthai.com/general-news/199903.html&docid=RnzIIHnq1qQgEM&imgurl=http://news.mthai.com/wp-content/uploads/2012/11/gfhr.jpg.pagespeed.ce.XWrrWEkMoJ.jpg&w=500&h=374&ei=tEGyUJ2YHIfJrQfZ74CICg&zoom=1&iact=rc&dur=3&sig=100990440389406588913&page=1&tbnh=139&tbnw=196&start=0&ndsp=29&ved=1t:429,r:4,s:0,i:96&tx=140&ty=72

แบบทดสอบที่1

28 ต.ค.
  1. ให้นักศึกษาเลือกอภิปรายคุณลักษณะของ search engine ของยาฮู กับ search engine ของกูเกิล มาอย่างละเอียด พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง search engine ทั้งสองมาโดยสังเขปตอบ

Search Engineคือ โปรแกรมที่ออกแบบมาเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์ต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นการค้นหาคำสั้นๆหรือที่เรียกว่า keyword หรือคำค้นต่าง ๆ ซึ่งข้อมูลนั้นอาจอยู่ในรูปแบบของเว็บไซต์ ไฟล์เอกสาร ไฟล์รูปภาพ สื่อมัลติมีเดียไฟล์บีบอัด และรูปแบบอื่น ๆ ที่สามารถบันทึกเป็นเอกสารออนไลน์ได้

โดยข้อมูลการเก็บรายชื่อเว็บไซต์ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของเว็บไซต์และนำมาจัดเก็บไว้ใน server เพื่อให้สามารถค้นหาและแสดงผลได้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น การทำงานของ Search Engine นั้นจะทำงานก็ต่อเมื่อมีคนป้อนคำหรือที่เรียกว่า keyword ลงไปใน Search Engine นั้นๆจากนั้น Search Engine ก็จะแสดงรายการผลลัพธ์ที่ผู้ใช้ต้องการขึ้น การใช้ search engine ที่ดีนั้นคือการค้นหาข้อมูลที่ตรงและถูกต้องตามที่เราต้องการ

ประโยชน์ที่ได้รับจาก Search Engine

  1. ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง
  2. สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 blog หนัง รูป หนังสือ และอื่นๆ อีกมากมาย
  3. สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูลและซอร์ฟแวร์ เป็นต้น
  4. มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล
  5. รองรับการค้นหา ภาษาไทย

Yahoo เป็น Classified Directory ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ปัจจุบัน Yahoo พัฒนาการบริการโดยเมื่อมีผู้ใช้สืบค้นข้อมูลผ่าน Yahoo การแสดงผลลัพธ์จะดึงจากฐานข้อมูลของ Yahoo ซึ่งจำแนกหัวเรื่องโดยมนุษย์ แล้วยังผนวกผลกับเว็บไซต์พันธมิตรอย่าง Google ซึ่งมีข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำให้ผู้ใช้บริการได้ข้อมูลที่มากขึ้นและตรงกับความต้องการ

YAHOO จะเป็น search engine ประเภทที่ คือ อาศัยการบันทึกข้อมูล และ จัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก โดยมีองค์ประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกันคือ

  1. ฐานข้อมูล คือ โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็นของตัวเอง ที่มีระบบการประมวลผล และ การจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก
  2. ซอฟแวร์ คือ เครื่องมือหลักสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งสำหรับ Serch Engine ประเภทนี้ เนื่องจากต้องอาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ (ชนิดที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว) ทำหน้าที่ในการตรวจหา และทำการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบ ของการทำสำเนาข้อมูลเหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งเราจะรู้จักกันในนาม Spider หรือ Web Crawler หรือ Search Engine Robots

Googleป็นเครื่องมือที่ให้บริการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต( Search Engine) ของเว็บไซต์ Google.com ที่โด่งดังที่สุดในปัจจุบัน เพียงผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ www.Google.com จากนั้นพิมพ์คำหรือข้อความ( Keyword) เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการค้นหา เพียงชั่วอึดใจหลังกดปุ่ม Enter Google Search ก็จะแสดงเว็บไซต์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ Keyword เหล่านั้นทันที

ไม่เฉพาะแต่เพียงการค้นหาข้อมูลในรูปของเว็บไซต์เท่านั้น Google Search ยังสามารถค้นหาข้อมูลที่เป็นไฟล์รูปภาพ( Images) , กลุ่มข่าว( News Groups) และ สารบบเว็บ( Web Directory) ได้อย่างแม่นยำอย่างน่าทึ่งอีกด้วย ปัจจุบันเว็บไซต์ Google ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ที่ต้องการค้นหาข้อมูลผ่านเว็บไซต์ โดยมีผู้เข้าใช้กว่า 250 ล้านครั้งต่อวันเลยทีเดียวครับ

บริการค้นหาข้อมูลของ Google Search แบ่งหมวดหมู่ของการค้นหาออกเป็น หมวดหลักด้วยกัน คือ

1. เว็บ ( Web) เป็นการค้นหาข้อมูลในรูปแบบของเว็บไซต์ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยการแสดงผลจะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำที่เป็น Keyword อยู่ภายเว็บไซต์นั้น

2. รูปภาพ ( Images) เป็นการค้นหาไฟล์รูปภาพจากการแปลคำ Keyword

3. กลุ่มข่าว ( News Groups) เป็นการค้นหาข่าวสารจากกลุ่มสมาชิกที่ใช้บริการ Google News Groups เพื่อรับส่งข่าวสารกันเองระหว่างสมาชิก โดยมีการระบุชื่อผู้เขียนข่าว , หัวข้อข่าว , วันที่และเวลาที่โพสต์ข่าว

4. สารบนเว็บ ( Web Directory) Google มีการจัดประเภทของเว็บไซต์ออกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งผู้ใช้สามารถค้นหาเว็บในเรื่องที่ต้องการตามหมวดหมู่ที่มีอยู่แล้วได้ทันที

ความแตกต่างระหว่าง Yahooกับ Google

Google Yahoo
  • ค้นหาข้อมูลแล้วเจอในสิ่งที่ต้องการ
  • ในการค้นหาบางครั้งอาจจะเจอคำตอบหรือไม่เจอคำตอบก็ได้
  • มีข้อมูลในการค้นหาเยอะ
  • ค้นหาค่อนข้างช้ากว่าGoogle
  • ค้นหาได้รวดเร็วและทันที
  • รูปแบบที่ใช้ในการค้นหาสะดวกน้อยกว่าการใช้Google
  • สามารถค้นหาเฉพาะกลุ่มได้แบบเจาะจง
  • มีความต้องการที่หลากหลาย
  • Googleสามารถแปลได้หลายภาษาในเว็บไซค์ที่เราค้นหาให้เป็นภาษาที่เาต้องการ
  • มีภาษาครอบคุมได้เกือบทั่วโลก
  • เสถียรและปลอดภัย
  • มีระบบที่มีประสิทธิภาพสูง
  • บางครั้งไม่สามารถพิสูจน์ที่มาของแหล่งข้อมูลได้และไม่สามารถนำไปอ้างอิงในการทำงานได้
  1. ให้นักศึกษาวิพากย์ถึงการนำพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ..2540 มาใช้ในการรายงานข่าวให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร

ตอบ

การรายงานข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลต่างๆและข้อเท็จจริงของข่าวนั้นให้ประชาชนได้รับทราบ โดยสืิ่อมีหน้าที่ในการทำข่าวและนำเสนอข่าวไปในทางที่ถูกต้อง โดยสิ่งที่สื่อความหมายนั้นให้ทราบถึงเรื่องราวหรือข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งเรื่องใด โดยใน ความหมายนี้เน้นที่การสื่อความหมายเป็นหลัก มิได้เน้นที่รูปร่างหรือรูปแบบของความเป็นข้อมูลข่าวสาร กล่าวคือ สิ่งที่จะ เป็นข้อมูลข่าวสารได้นั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปร่าง หรือ รูปแบบของกระดาษที่มีข้อความหรือแฟ้มเอกสาร แต่มีความหมาย รวมถึง สิ่งต่างๆ ที่อาจจะปรากฏให้เห็นเป็นข้อความ ตัวเลข สัญลักษณ์ เสียง แสง และ สิ่งอื่นๆ ที่ทำให้มนุษย์สามารถ เข้าใจและรู้ความหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นโดยสภาพของสิ่งนั้นเอง หรือโดยผ่านกรรมวิธีใดๆ เช่น ประจุไฟฟ้าแม่เหล็ก ฟิล์ม ไมโครฟิล์ม รูปภาพ เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ คอมพิวเตอร์ แผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรายงานข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลต่างๆและข้อเท็จจริงของข่าวนั้นให้ประชาชนได้รับทราบ โดยสืิ่อมีหน้าที่ในการทำข่าวและนำเสนอข่าวไปในทางที่ถูกต้อง โดยสิ่งที่สื่อความหมายนั้นให้ทราบถึงเรื่องราวหรือข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งเรื่องใด โดยใน ความหมายนี้เน้นที่การสื่อความหมายเป็นหลัก มิได้เน้นที่รูปร่างหรือรูปแบบของความเป็นข้อมูลข่าวสาร กล่าวคือ สิ่งที่จะ เป็นข้อมูลข่าวสารได้นั้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปร่าง หรือ รูปแบบของกระดาษที่มีข้อความหรือแฟ้มเอกสาร แต่มีความหมาย รวมถึง สิ่งต่างๆ ที่อาจจะปรากฏให้เห็นเป็นข้อความ ตัวเลข สัญลักษณ์ เสียง แสง และ สิ่งอื่นๆ ที่ทำให้มนุษย์สามารถ เข้าใจและรู้ความหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นโดยสภาพของสิ่งนั้นเอง หรือโดยผ่านกรรมวิธีใดๆ เช่น ประจุไฟฟ้าแม่เหล็ก ฟิล์ม ไมโครฟิล์ม รูปภาพ เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ คอมพิวเตอร์ แผ่นบันทึกข้อมูล (Diskette) คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

โดยการรายงานข่าวนั้นจะเป็นไปได้นั้นต้องเป็นไม่ส่งผลกระทบกับหน่วยงานต่างๆและการรายงานข่าวสารให้ประชาชนได้รับทราบนั้นบางเรื่องต้องให้ประชาชนเป็นผู้ที่ยืนคำขอให้เปิดเผยข้อมูลนั้น บางข้อมูลสื่อก็ไ่ม่สามารถเปิดเผยได้ ประชาชนอ่านข้อมูลเองจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ข้อมูลข่าวสารของราชการที่จะเปิดเผยโดยวิธีนี้คือ ข้อมูลข่าวสารที่ เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสศึกษา ค้นคว้าเป็นการทั่วไป

3. ให้อภิปรายถึงผลกระทบต่อการใช้คอมพิวเตอร์ในประเทศไทยภายหลังจากที่มีพระราชบัญญติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ..2550

ตอบ

การออกพระราชระราชบัญญติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ทำขึ้นเพื่อเป็นกฎหมายในการใช้งานคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันเนื่องจากทุกวันนี้มีผู้ใช้งานคอมพิวเตอรและอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาจึงส่งผลต่อผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นอย่างมากเพราะทุกวันนี้ก็มีข่าวออกทางTVเกือบจะทุกเดือนเกี่ยวการละเมิดสิทธิจากการใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมาย จากการออกพระราชบัญญติฉบับนี้ทำให้มีการคุ้มครองผู้ที่ใช้อินเตอร์ในโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารต่างๆที่มีโปรแกรมการเล่น Facebook Twitter Instagram และโปรแกรมอื่นๆ มีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้นและการนำข้อมูลต่างๆที่ไม่ได้ที่ส่งต่อกันมาเผยแพร่ก็อาจจะได้รับโทษโดยไม่รู้ตัว กฎหมายนี้ยังออกมาเพื่อคุ้มครองผู้ที่โดนแฮกข้อมูล ผู้ที่ถูกลวงความลับและต่างๆอีกมากมายแต่ในการหาข้อมูลต่ละครั้งบางเว็บที่เราต้องการข้อมูลเราก็ไม่สามารถนำข้อมูลนั้นมาใช้ได้เพราะผู้ที่ทำเว็บไซค์ขึ้นมานั้นไม่ต้องการให้ใครลอกเรียนแบบหรือนำข้อมูลไปจึงยากแก่การทำงานในบางครั้งแต่และในแต่ละครั้งที่เราแสดงความคิดเห็นลงไปในเว็บไซค์ต่างๆควรเป็นกลางไม่ควรลำเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและไม่ควรพูดเเรื่องเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์อีกด้วย

สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกผ่านสื่อคอมพิวเตอร์   ก็ไม่แตกต่างจากเสรีภาพในสื่ออื่นๆ  เช่น  หนังสือพิมพ์ วิทยุ  โทรทัศน์  ภาพยนตร์ หรือสื่อสารมวลชนอื่นๆ  ดังนั้น จึงสมควรได้รับการคุ้มครอง  เพราะเป็นสิ่งชี้วัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน  ซึ่งเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของระบอบประชาธิปไตยในอารยประเทศ

4. นักศึกษาอธิบายถึงเครื่องมือที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตที่สามารถนำมาทำการสืบค้นหาข้อมูลประกอบการรายงานข่าวมาให้เข้าใจ

ตอบ

การค้นหาข้อมูลบนเครื่องมืออินเตอร์เน็ตมี 2แบบคือ

1. การค้นหาในรูปแบบ Index Directory

2. การค้นหาในรูปแบบ Search Engine

การค้นหาในรูปแบบ Index Directory 
วิธีการค้นหาข้อมูลแบบ Index นี้ข้อมูลจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าการค้นหาข้อมูลด้วย วิธีของ Search Engine โดยมันจะถูกคัดแยกข้อมูลออกมาเป็นหมวดหมู่ และจัดแบ่งแยก Site ต่างๆออก เป็นประเภท สำหรับวิธีใช้งาน คุณสามารถที่จะ Click เลือกข้อมูลที่ต้องการจะดูได้เลยใน Web Browser จากนั้นที่หน้าจอก็จะแสดงรายละเอียดของหัวข้อปลีกย่อยลึกลงมาอีกระดับหนึ่ง ปรากฏขึ้นมาให้เราเลือกอีก ส่วนจะแสดงออกมาให้เลือกเยอะแค่ไหนอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของฐานข้อมูลใน Index ว่าในแต่ละประเภท จัดรวบรวมเก็บเอาไว้มากน้อยเพียงใด เมื่อคุณเข้าไปถึงประเภทย่อยที่คุณสนใจแล้ว ที่เว็บเพจจะแสดงรายชื่อของเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ ประเภทของข้อมูลนั้นๆออกมา หากคุณคิดว่าเอกสารใดสนใจหรือต้องการอยากที่จะดู สามารถ Click ลงไปยัง Link เพื่อขอเชื่อต่อทางไซต์ก็จะนำเอาผลของข้อมูลดังกล่าวออกมาแสดงผลทันที นอกเหนือไปจากนี้ ไซต์ที่แสดงออกมานั้นทางผู้ให้บริการยังได้เรียบเรียงโดยนำเอา Site ที่มีความเกี่ยว ข้องมากที่สุดเอามาไว้ตอนบนสุดของรายชื่อที่แสดง

การค้นหาในรูปแบบ Search Engine คือการใช้ Search Engine ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่กว่า 70% จะใช้วิธีการค้นหาแบบนี้ หลักการทำงานของ Search Engine จะแตกต่างจากการใช้ Indexลักษณะของมันจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหาศาลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป บน Internet ไม่มีการแสดงข้อมูลออกมาเป็นลำดับขั้นของความสำคัญ การใช้งานจะเหมือนการสืบค้นฐานข้อมูล อื่นๆคือ คุณจะต้องพิมพ์คำสำคัญ (Keyword) ซึ่งเป็นการอธิบายถึงข้อมูลที่คุณต้องการจะเข้าไป ค้นหานั้นๆเข้าไป จากนั้น Search Engine ก็จะแสดงข้อมูลและ Site ต่างๆที่เกี่ยวข้องออกมา

ข้อแตกต่างระหว่าง Index และSearch Engine คือ วิธีในการค้นหาข้อมูลแบบ Index เค้าจะใช้คนเป็นผู้จัดรวบรวมและทำระบบฐานข้อมูลขึ้นมา ส่วนแบบ Search Engine นั้นระบบฐานข้อมูลของมันจะได้รับการจัดสร้างโดยใช้ Software ที่มี หน้าที่เกี่ยวกับงานทางด้านนี้โดยเฉพาะมาเป็นตัวควบคุมและจัดการ ซึ่งเจ้า Software ตัวนี้จะมี ชื่อเรียกว่า Spiders การทำงานข้องมันจะใช้วิธีการเดินลัดเลาะไปตามเครือข่ายต่างๆที่เชื่อมโยงถึง กันอยู่เต็มไปหมดใน Internet เพื่อค้นหา Website ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ รวมทั้งยังสามารถตรวจสอบหาความเปลี่ยนแปลงของ ข้อมูลใน Site เดิมที่มีอยู่ ว่าที่ใดถูกอัพเดตแล้วบ้าง จากนั้นมันก็จะนำเอาข้อมูลทั้งหมดที่สำรวจเข้ามา ได้เก็บใส่เข้าไปในฐานข้อมูลของตนอัตโนมัติ ยกตัวอย่างของผู้ให้บริการประเภทนี้เช่น Excite , Lycos Infoserch เป็นต้น การค้นหาด้วยวิธี Search Engine นั้นมักจะได้ผลลัพธ์ออกมากว้างๆชี้เฉพาะเจาะจงได้ยาก บางครั้งข้อมูลที่ ค้นหามาได้อาจมีถึงเป็นร้อยเป็นพัน Site แล้วมีใครบ้างหละที่อยากจะมานั้งค้นหาและอ่านดูที่จะเพจ ซึ่งคง ต้องเสียเวลาเป็นวันๆแน่ ซึ่งก็ไม่รับรองด้วยว่าคุณจะได้ข้อมูลที่คุณต้องการหรือไม่ ดังนั้นจิงมีหลักในการค้น หา เพื่อให้ได้ข้อมูลใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งจะขอกล่าวในตอนหลัง

ประเภทของ Search Engine

Search Engine แต่ละแห่งมีวิธีการและการจัดเก็บฐานข้อมูลที่แตกต่างกันไปตามประเภทของ Search Engine ที่แต่ละเว็บไซต์นำมาใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนั้นการที่เข้าไปหาข้อมูลหรือเว็บไซต์ โดยวิธีการ Search นั้น อย่างน้อยต้องทราบว่า เว็บไซต์ที่เข้าไปใช้บริการ ใช้วิธีการหรือ ประเภทของ Search Engine อะไร เนื่องจากแต่ละประเภทมีความละเอียดในการจัดเก็บข้อมูลต่างกันไป

Search Engine ประเภทใดที่เหมาะกับการค้นหาข้อมูล

1. Keyword Index เป็นการค้นหาข้อมูล โดยการค้นจากข้อความในเว็บเพจที่ได้ผ่านการสำรวจมาแล้ว จะอ่านข้อความ ข้อมูล อย่างน้อยๆ ก็ประมาณ 200-300 ตัวอักษรแรกของเว็บเพจนั้นๆ โดยการอ่านนี้จะหมายรวมไปถึงอ่านข้อความที่อยู่ในโครงสร้างภาษา HTML ซึ่งอยู่ในรูปแบบของข้อความที่อยู่ในคำสั่ง alt ซึ่งเป็นคำสั่งภายใน TAG คำสังของรูปภาพ แต่จะไม่นำคำสั่งของ TAG อื่นๆ ในภาษา HTML และคำสั่งในภาษา JAVA มาใช้ในการค้นหา วิธีการค้นหาของ Search Engine ประเภทนี้จะให้ความสำคัญกับการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลัง และความถี่ในการนำเสนอข้อมูลนั้น การค้นหาข้อมูล โดยวิธีการเช่นนี้จะมีความรวดเร็วมาก แต่มีความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อย เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร แต่หากว่าคุณต้องการแนวทางด้านกว้างของข้อมูล และความรวดเร็วในการค้นหา วิธีการนี้ก็ใช้ได้ผลดี

2. Subject Directories การจำแนกหมวดหมู่ข้อมูล Search Engine ประเภทนี้ จะจัดแบ่งโดยการวิเคราะห์เนื้อหา รายละเอียด ของแต่ละเว็บเพจ ว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร โดยการจัดแบ่งแบบนี้จะใช้แรงงานคนในการพิจารณาเว็บเพจ ซึ่งทำให้การจัดหมวดหมู่ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคนจัดหมวดหมู่แต่ละคนว่าจะจัดเก็บข้อมูลนั้นๆ อยู่ในเครือข่ายข้อมูลอะไร ดังนั้นฐานข้อมูลของ Search Engine ประเภทนี้จะถูกจัดแบ่งตามเนื้อหาก่อน แล้วจึงนำมาเป็นฐานข้อมูลในการค้นหาต่อไป การค้นหาค่อนข้างจะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และมีความถูกต้องในการค้นหาสูง เป็นต้นว่า หากเราต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Search Engine ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ล้วนๆ มาให้คุณ

3. Metasearch Engines จุดเด่นของการค้นหาด้วยวิธีการนี้ คือ สามารถเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่นๆ และยังมีความหลากหลายของข้อมูล แต่การค้นหาด้วยวิธีนี้มีจุดด้อย คือ วิธีการนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับขนาดเล็กใหญ่ของตัวอักษร และมักจะผ่านเลยคำประเภท Natural Language (ภาษาพูด) ดังนั้น หากคุณจะใช้ Search Engine แบบนี้ละก็ ขอให้ตระหนักถึงข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วย

ตัวอย่าง Search Engine ที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เช่น sanook.com, siamguru.com, google.com, yahoo.com, msn.com, altavista.com, search.com เป็นต้น

วิธีการค้นหา

เพียงพิมพ์คำที่เราต้องการค้นหา หรือที่เราเรียกว่า Key Word และกดปุ่ม Search

ประโยชน์ที่ได้รับจาก Search Engine

  1. ค้นหาเว็บที่ต้องการได้สะดวก รวดเร็ว
  2. สามารถค้นหาแบบเจาะลึกได้ ไม่ว่าจะเป็น รูปภาพ, ข่าว, MP3 และอื่นๆ อีกมากมาย
  3. สามารถค้นหาจากเว็บไซต์เฉพาะทาง ที่มีการจัดทำไว้ เช่น download.com เว็บไซต์เกี่ยวกับข้อมูลและซอร์ฟแวร์ เป็นต้น
  4. มีความหลากหลายในการค้นหาข้อมูล
  5. รองรับการค้นหา ภาษาไทยนอกจากนี้ยังมีการพัฒนาในรูปแบบของ Search Bar ที่ทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเข้าผ่านเว็บไซต์ Search Engine เหล่านั้นโดยตรงแล้ว ตัวอย่าง Search Bar ที่ขอแนะนำ เช่น Google Search Bar, Yahoo Search Bar เป็นต้น สำหรับรายละเอียดให้คลิกเข้าไปอ่านและ download ได้ที่ Search Bar

ให้อภิปรายถึงคุณประโยชน์ของการนำเอาโปรแกรม Excels มาใช้ในการจัดเตรียมข้อมูลโดยสังเขป 
              ตอบ

ประโยช์ของโปรแกรมExcelเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในเรื่องของการทำงานในนตารางเป็นหลักและยังเป็นโปรแกรมที่มีฟังค์ชั่นให้เลือกใช้งานหลากหลายและเป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในเรื่องของการคำนวณที่ให้คำตอบที่ถูกต้องและแม่นยำในการคำนวณหาคำตอบ ซึ่งโปรแกรม Excel ยังเป็นโปรแกรมหลักที่จัดข้อมูลในตาราให้เป็นหมวดหมู่เพื่อสะดวกในการใช้งานแต่ละครั้ง และสามารถนำข้อมูลที่สร้างในตารางมาทำเป็นข้อมูลทางกราฟได้ในทันที และสามารถตกแต่ข้อมูลที่เราสร้างขึ้นเพื่อให้สะดวกต่อการรายงานข้อมูลและจดจำง่าย อ่านสะดวก ด้วยโปรแกรมภาพ สีและตัวอักษร โปรแกรมExcel สามารถสร้างและแปลงข้อมูลในตารางให้เป็นเว็บเพจเพื่อนำไปแสดงในหน้าโฮมได้

  1. ระบบสารสนเทศในปัจจุบันมีอยู่ 5 ระบบ คือให้นักศึกษาบรรยายถึงระบบสารสนเทศโดยจำแนกตามระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันว่า มีอยู่กี่ระบบ มีลักษณะเป็นอย่างไรตอบ

1.ระบบประมวลผลข้อมูล 
(Data processing System หรือ DP) หรือบางครั้งเรียกว่า ระบบประมวลผลรายการประจำ (Transaction Processing System หรือ TPS) หรือระบบประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Processing หรือ EDP) เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดข้อมูลขั้นพื้นฐาน โดยเน้นที่การประมวลผลรายการประจำวัน (transaction) และการเก็บรักษาข้อมูล 
ระบบประมวลผลข้อมูลมักจะทำงานอยู่เฉพาะส่งนหนึ่งส่วนใดของธุรกิจเท่านั้น เช่นฝ่ายการเงินและบัญชี ฝ่ายผลิต ฝ่ายการตลาด เป็นต้น โดยแต่ละฝ่ายจะมีการประมวลผลที่แยกจากกัน ข้อมูลจะถูกป้อนและจัดเก็บอยู่ในรูปของไฟล์ และไฟล์ต่างๆ จะถูกแก้ไขระหว่างการประมวลผลรายการประจำวัน จากนั้นผลลัพธ์จะถูกแสดงออกมาตามคาบเวลาที่กำหนด เช่น ใบส่งของ หรือรายงานประจำเดือน เป็นต้น

2.ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร 
 (Management Information System)หรือ MIS คือระบบบริหารที่ให้สารสนเทศที่ผู้บริหารต้องกา เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะรวมทั้งสารสนเทศจากภายในและภายนอก สารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งที่คาดว่าจะเป็นอนาคต นอกจากนี้ระบบเอ็มไฟเอสจะต้องให้สารสนเทศภายในช่วงเวลาที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่างถูกต้อง 
แม้ว่าผู้บริหารที่ได้รับประโยชน์จากระบบเอ็มไอเอสสูงสุดคือผู้บริหารระดับกลาง แต่โดยพื้นฐานของระบบเอ็มไอเอสแล้ว จะเป็นระบบที่สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ผู้บริหารทั้ง

3. ระดับ คือทั้งผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหารระดับสูง โดยระบบเอ็มไอเอสจะให้รายงานที่สรุปสารสนเทศซึ่งรวบรวมจากฐานข้อมูลทั้งหมดของบริษัท จุดประสงค์ของรายงานจะเน้นให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นแนวโน้มและภาพรวมขององค์กรในปัจจุบัน รวมทั้งสามารถควบคุมและตรวจสอบผลงานของระดับปฏิบัติการด้วย
3.ระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ 
ระบบการตัดสินใจ ( Decision Support Systems)หรือ DSS เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากระบบอ็มไอเอสอีกระบบหนึ่ง เนื่องจากผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจจะสามารถใช้ประสบการณ์หรือใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบเอ็มไอเอสของระบริษัท สำหรับการตักสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานปกติ แต่บ่อยครั้งที่ผู้ตัดสินใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารระดับวางแผนบริหารและวางแผนยุทธศาสตร์ และเผชิญกับการตัดสินใจที่ประกอบด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะประมวลผลเข้าด้วยกันได้อย่างถูกต้อง จึงทำให้เกิดการสนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งเป็นระบบที่สนับสนุนความต้องการเฉพาะของผู้บริหารแต่ละคน (made by order)


4.
ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง 
 (Executive Information Systems )หรือ EIS เป็นระบบที่สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุนสารสนเทศและการตัดสินใจสำหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ หรือสามารถกล่าวได้ว่าระบบอีไอเอสคือส่วนหนึ่งของระบบดีเอสเอสที่แยกออกมา เพื่อเน้นในการให้สารสนเทศที่สำคัญต่อการบริหารแก่ผู้บริหารระดับสูงสุด
ระบบอีไอเอสจะใช้ข้อมูลจากทั้งภายในภายนอกองค์กร (เช่น รายงานจากหน่วยงานของรัฐบาล หรือข้อมูลประชากร) นำมาสรุปอยู่ในรูปแบบที่สามารถตรวจสอบ และใช้ในการตัดสินใจโดยผู้บริหารได้ง่าย นอกจากนี้ ยังช่วยให้ผู้บริหารดูในรายละเอียดที่ต้องการในจุดต่างๆได้อีกด้วย

5.ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert Systems) 
ระบบผู้เชี่ยวชาญมีส่วนที่คล้ายคลึงกับระบบอื่นๆ คือเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือทำการตัดสินได้ดีขึ้น ระบบผู้เชี่ยวชาญจะแตกต่างกับระบบอื่นอยู่มาก จะเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ (knowledge) มากกว่าสารสนเทศ และถูกออกแบบให้ช่วยในการตัดสินใจโดยใช้วิธีเดี่ยวกับผู้เชี่ยวชาญที่มนุษย์เป็น โดยใช้หลักการทำงานด้วยระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence)
ระบบผู้เชี่ยวชาญจะทำการโต้ตอบกับมนุษย์ โดยมีการถามข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความกระจ่างให้ข้อแนะนำ และช่วยเหลือในการตัดสินใจ นั่นคือทำงานคล้ายกับเป็นมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหานั้น เนื่องจากระบบนี้คือการจำลองความรู้ของผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ มานั่นเอง โดยผู้เชี่ยวชาญในที่นี้อาจเป็นได้ทั้งผู้เชี่ยวชาญในการบริหาร ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องภาษี ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องยา หรือแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในการทำอาหารก็ตาม

พ่อแม่รังแกฉัน

9 ต.ค.

พ่อแม่รังแกฉัน

บทคัดย่อ

ในปัจุจบันนี้มีปัญหาต่างๆมากมายเกิดขึ้นในสังคมไทยของเราและปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ก็มาจากคนเรานี้แหละที่ทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายโดยเฉพาะปัญหาเด็กเร่ร่อนและในทุกวันนี้ปัญหานี้ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเพราะสังคมของเราขาดการอบรมเลี้ยงดูที่ดี

ในปัจุจบันนี้ไม่ว่าเราจะไปที่ไหนเราก็สามารถเจอและพบเห็นเด็กเร่ร่อนได้ในทุกที่ เด็กเร่ร่อนเหล่านี้เป็นปัญหาสังคมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ไปในทิศทางที่ดี เด็กเร่ร่อนตาสถานที่ต่างๆมักจะมั่วสุ่มกันบางก็จะจับกลุ่มทำในสิ่งที่ดี บ้างก็จะจับกลุ่มทำในสิ่งที่ไม่ดี เด็กเร่ร่อนเหล่านี้เป็นปัญหาทางสังคมที่ขาดการอบรมเลี้ยงดูปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในสังคมของเรากก็มาจากเด็กเร่ร่อน เช่น การวิ่งราว ปํญหายาเสพติด ปัญหาการข่มขืน ปัญหาการขโมยของ เป็นต้น ปัญหาสภาพทางสังคมไทยของเราในปัจุจบันนั้นเป็นปัญหาที่มีการต่อสู้แย่งชิงกันเยอะทำให้คนที่มีโอกาสที่จะได้รับสิทธิพิเศษลดน้อยลงไปอีกด้วย แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในปัจุจบัน รัฐบาลควรเปิดโอกาศให้กับประชาชนหรือบุคคลที่ เร่ร่อน บุคคลที่ไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาล คนไร้สัญชาติ ได้มีโอกาสในเรื่องต่างๆบ้าง ควรรณรงค์ ประชาสัมพันธุ์ให้ความรู้ในปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมและใครมีบทบาทมากที่สุดในการปลูกฝังจิตสำนึกและค่านิยมที่ดีให้กับบุคคลเล่านี้

ปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทยเรานั้นไม่ได้มีเพียงปัญหาที่มาจากครอบครัวเท่านั้นแต่ยังมีปัญหาอีกมากมายที่ทำให้เกิดเด็กเร่ร่อนในสังคม แต่ปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เกิดเด็กเร่ร่อนถ้าทุกคนในสังคมช่วยกันเป็นแบบอย่างที่ดีให้กันและกันปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นก็คงอาจจะลดน้อยลงมากกว่าที่เป็นอยู่

เหตุผลประกอบในการเลือกเรื่องนี้

เพื่อให้ทราบถึงปัญหาเด็กเร่ร่อนว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องใดเป็นอันดับหนึ่งและให้ทุกคนได้ตระหนักถึงปัญหาและแนวทางในการแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทย

วัตถุประสงค์ในการนำเสนอ

1. ให้ประชาชนทุกคนตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับเด็กเร่ร่อนในสังคม

2. ให้ความรู้ในเรื่องการใช้ชีวิตในสังคมกับบบุคคลทุกเพศทุกวัย

3. ลดการเกิดปัญหาที่จะทำให้เกิด การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร

ปัญหาครอบครัว เด็กไร้สัญชาติ ปัญหาการเรียน ความอยากรู้อยากเห็นอยากลอง

4. ลดปริมาณเด็กเร่ร่อนในสังคมให้น้อยลง

5. วิธีการดูแลเด็กเด็กเร่ร่อนในมูลนิธิต่างๆว่าเป็นอย่างไร

6. ปัญหาเด็กเร่ร่อนมีผลกระทบต่อสังคมอย่างไร

7. หาวิธีทางในการแก้ปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทย

สาเหตุที่นำไปสู่กระบวนการปัญหาเด็กเร่ร่อนในสังคมไทย

ด้วยสภาพสังคมไทยประสบปัญหาทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายขึ้นกับเด็กและเยาวชน โดยที่รัฐบาลเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจมากเกิน จึงส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะปัญหาเด็กเร่ร่อน ที่หนีออกจากบ้าน เหมือนกับนกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั้น ไม่มีการวางแผนอนาคตดำรงวิถีชีวิตไปเรื่อยๆไม่มีที่อยู่ที่แน่นอน เร่ร่อนตามสวนสาธารณะ ตลาด ป้ายรถเมล์ ดำรงชีวิตให้อยู่รอดๆไปวัน โดยการขอทาน รับจ้างเก็บขยะขาย เก็บเศษเหล็ก ล้างจาน เป็นต้น ชีวิตของเด็กเหล่านี้ขาดการพัฒนาทุกด้าน ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีการเข้ารับบริการจากรัฐ เพราะเด็กบางคนขาดเอกสารใบเกิด ทะเบียนบ้าน ส่งผลให้เด็กเหล่านี้บางส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาชญากรรม และธุรกิจบริการทางเพศ

จากสภาพสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มว่าเด็กเร่ร่อนจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามเมืองใหญ่ เด็กเหล่านี้มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะถูกทำร้ายและตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทุกประเภทรวมทั้งติดยาเสพติดถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจบริการทางเพศ ในปี พ.ศ. 2535 มีเด็กเร่ร่อนที่เข้าสู่สถานสงเคราะห์และอยู่ในความคุ้มครองสวัสดิภาพของกรมประชาสงเคราะห์ จำนวน 1,460 คนในปี 2536มีเด็กเร่ร่อนอายุระหว่าง 11-15 ปี ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 362 คนในปี 2537มูลนิธิสร้างสรรค์เด็กระบุว่ามีเด็กเร่ร่อนทั่วประเทศทั้งสิ้น 13,322 คน เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาในระบบ หรือเรียนแต่ไม่จบชั้นประถมศึกษาเนื่องจากต้องอพยพเร่ร่อนตามครอบครัวจึงไม่มีโอกาสได้รับการศึกษา พ่อแม่ด้อยการศึกษาและไม่เอาใจใส่รวมทั้งสติปัญญาและความสามารถของเด็กเอง สิ่งเหล่านี้ทำให้การศึกษาของเด็กเร่ร่อนค่อนข้างต่ำปัญหาเด็กเร่ร่อนเป็นปัญหาที่มีมานาน และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ เป็นปัญหาสังคมที่เชื่อมโยงกับปัญหาอื่น ๆ

สำหรับเด็กเร่ร่อนในประเทศไทยนั้นพบว่า กรุงเทพมหานครมีจำนวนเด็กเร่ร่อนมากที่สุด โดยเด็กเร่ร่อนเหล่านี้อาศัยอยู่ตามที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น หัวลำโพง สนามหลวง เชิงสะพานพุทธ วงเวียนใหญ่ สวนศรีนครินทร์ ลาดพร้าว พัฒน์พงษ์ สวนลุมพินี และเชิงสะพานปิ่นเกล้า สาเหตุที่ทำให้เด็กเหล่านี้ออกมาเร่ร่อน ได้แก่ ปัญหาครอบครัว ปัญหาจากโรงเรียน และปัญหาที่เกิดจากนายหน้าและเพื่อน เด็กเร่ร่อนเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังชีพอยู่ได้ด้วยการขอทาน การขายของ และการขายบริการทางเพศ เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่มักเสพยาเสพย์ติดประเภทต่าง ๆ เช่น บุหรี่ แล็กเกอร์ ยากล่อมประสาท ยาม้า และเฮโรอีน

การดำเนินชีวิตอยู่บนท้องถนน เด็กเร่ร่อนจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่ายอาทิ เพื่อน ตำรวจ เจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ และครูข้างถนน ซึ่งระดับความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้มีทั้งในลักษณะที่พึ่งพาอาศัย ขอความช่วยเหลือ ช่วยแก้ไขปัญหา และพยายามหลีหนีให้ไกลที่สุดเท่าที่จะ

สภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของเด็กเร่ร่อน เปรียบเทียบชีวิตของเด็กเร่ร่อน เหมือนกับ “นกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น ”สภาพที่เกิดขึ้นจริงกับเด็กเร่ร่อน รวมถึงแนวโน้มความเสี่ยงที่เด็กเร่ร่อนต้องประสบภายใต้คำจำกัดความสั้นๆที่กล่าวถึงเด็กเร่ร่อนไว้ว่า “ คือกลุ่มเด็กไร้ที่พึ่งพาอาศัยอย่างเป็นสุข มีวิถีชีวิตที่ขาดเสียซึ่งปัจจัยพื้นฐานในการครองชีวิตและยังดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างไร้สวัสดิภาพใดใด ทั้งยังเสี่ยงต่อการกระทำและใช้เป็นเครื่องมือในทางที่ผิด”ซึ่งสามารถขยายความให้เห็นได้เด่นชัด ดังนี้

1. การไร้ที่พึ่งพาอาศัยอย่างเป็นสุข นับแต่ภายในครอบครัวที่ไร้สุขจนอยู่ไม่ได้กระทั่งต้องหนีออกมาใช้ชีวิตเร่ร่อน ต้องหาที่หลับนอนให้พ้นภัยโดยหลบนอนอยู่บนต้นไม้ บนหลังคาที่พักผู้โดยสารรถเมล์ ในอุโมงค์ใต้ถนนหลบเข้านอนในโป๊ะที่ลอยรับผู้โดยสารอยู่บนตอหม้อใหญ่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาในบ้านร้าง ในที่รกร้างต่างๆ ชานชาลารถไฟ ใต้สะพานลอยหรือสะพานข้ามถนน เช่น สี่แยกสะพานไทย-เบลเยี่ยมสะพานสามย่าน เป็นต้น

2. ขาดเสียซึ่งพื้นฐานในการครองชีวิต โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอ ยาและรักษายามป่วยไข้อาหารที่มีคุณภาพและพอเพียงต่อการพัฒนาร่างกายและสุขภาพ ดังนั้นภาพของเด็กเร่ร่อนที่ตระเวนขอทานและคุ้ยหาเศษสิ่งของตามถังขยะทั่วไป เพื่อใช้ซื้อหรือกินประทังชีวิตจึงเห็นอยู่ทั่วไป พร้อมๆกับร่างกายที่สกปรกมอมแมมด้วยเสื้อผ้าชุดเดิมที่สวมอยู่ตลอด และสิ่งที่จะต้องตระหนักที่สุดยามป่วยไข้ที่ต้องนอนซมไร้คนดูแลรักษา “จนกว่าจะหายเอง”

3. อยู่ในสังคมอย่างไร้สวัสดิภาพใดใด โดยเฉพาะในเรื่อง”การได้รับโอกาสพัฒนาตนรอบด้าน” ตั้งแต่เรื่องการศึกษา นันทนาการ การฝึกอาชีพ การมีงานทำ การรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยซึ่งสิทธิพื้นฐานเหล่านี้เป็นสวัสดิการที่เด็กไม่ได้รับ ขณะเดียวกัน “สวัสดิภาพ” ที่จะอยู่อย่างปลอดภัยก็มีน้อยขาดเอกสารที่แสดงตัวตนของเด็กซึ่งทำให้ขาดสอทธิต่างๆที่เด็กเร่ร่อนควรพึงได้รับจากรัฐ

4. เสี่ยงต่อการกระทำผิดและถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางร้าย สถานการณ์บนถนน แม้จะทำให้เด็กมีอิสรภาพ ไม่ถูกดุด่าทุบตีจากครอบครัว แต่ก็ยังความเสี่ยงไม่น้อยที่รอคอยเด็กเหล่านี้อยู่ ตั้งแต่การรวมกลุ่มเสพยาเสพติดประเภทสารระเหย จนถึงการถูกผู้ใหญ่บังคับให้ขอทาน สอนให้ลักเล็กขโมย การตกอยู่ในวงจรของการเป็นอาชญากร และตกอยู่ในวงจรทางเพศ ซึ่งเป็นการขายบริการทางเพศให้กับชาวต่างชาติ ชายไทย จึงตกต้องได้รับผลกระทบจากโรคเอดส์ ซึ่งมีเด็กเร่ร่อนหลายชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อของโรคเอดส์

เด็กเป็นกลุ่มประชากรที่ควรได้รับการเลี้ยงดู ให้ความรักความอบอุ่น โดยเฉพาะในวัยแรกเกิด ถึง 1 ปี ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของชีวิต ที่จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่เหมาะสม ตามวัย มีความมั่นคงทางจิตใจ และมีสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ เด็กจะเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

จากปรากฏการณ์ที่ผ่านมาจะพบว่าครอบครัวไม่สามารถทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ทุกครอบครัว เนื่องจากสถานการณ์ของสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะกระทบต่อสถาบันครอบครัวแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ตามมา ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้ง เป็นปัญหาหนึ่งซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มั่นคงของสถาบันครอบครัว เป็นปัญหาที่เกิดมายาวนาน และนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างหันมาให้ความสนใจ และพยายามหาทางแก้ไขที่ต้นเหตุ

ประการที่ 1 ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการมีบุตร และสาเหตุนี้ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักในการที่เด็กถูกทอดทิ้ง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นวัยรุ่น วัยเรียนเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะนักศึกษาที่ยังเรียนไม่จบ ยังไม่มีวุฒิภาวะทางการศึกษาและมักจะเข้าใจเพียงผิวเผินว่า เมื่อมีบุตรแล้วจะสามารถเลี้ยงและประคับประคองการดูแลบุตรได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วยังไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างยังขาดความพร้อม เช่น ความรู้ความเข้าใจในการมีครอบครัว ฐานะทางการเงิน ยังต้องศึกษาต่อ เป็นต้น ซึ่งทำให้ปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งนี้เกิดขึ้นอยู่เสมอในสังคม

ประการที่ 2 ปัญหาครอบครัวจากการศึกษาพบว่าปัญหาส่วนใหญ่มาจากปัญหาครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการหย่าร้างของพ่อแม่ การใช้ความรุนแรง การทะเลาะกัน การแต่งงานใหม่ของพ่อแม่ เป็นต้น ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ต่างสร้างความกดดันให้เด็ก ดึงความสนใจของพ่อแม่ไปจากตัวเด็ก ทำให้เด็กขาดความรักความอบอุ่นเด็กจึงต้องออกมาเร่ร่อน เพื่อให้พ้นจากสภาพความอึดอัดดังกล่าว จึงต้องยอมรับว่าปัญหาครอบครัวเป็นปัญหาที่ทำให้เด็กออกมาเร่ร่อนปัญหาหนึ่ง และจากสถิติการหย่าร้างที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ที่ทำให้มีการทอดทิ้งเด็ก เนื่องจากการหย่าร้างทำให้ต้องเลี้ยงดูบุตรเพียงคนเดียว ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถเลี้ยงบุตรได้ เช่น เลี้ยงไม่ไหวเพราะไม่มีเงินพอที่จะส่งเสีย ไม่มีเวลาดูแลบุตรของตน เกี่ยงกันรับผิดชอบในตัวบุตร เป็นต้น

ประการที่ 3 ครอบครัวมีฐานะยากจนเกินกว่าที่จะดูแลเด็ก กล่าวคือ ปัญหาความยากจนในสังคมได้มีผลกระทบทำให้เกิดการทอดทิ้งเด็กเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจถึงขั้นล้มละลายทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ เป็นต้น

ประการที่ 4 การตั้งครรภ์โดยไม่พึ่งประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน จึงไม่ต้องการเลี้ยงเด็กและไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้และเพราะอายคนในสังคม หรือผู้หญิงที่เป็นโสเภณี เพราะเด็กที่เกิดมาจะทำให้ไม่สามารถค้าประเวณีได้ ซึ่งทำให้พวกเขาเหล่านี้ทอดทิ้งเด็ก โดยไม่ได้คำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาจากการทอดทิ้งเด็ก เป็นต้น

ประการที่ 5เด็กที่มีความบกพร่องหรือพิการ และนี้ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่เป็นที่ต้องการของครอบครัวและถูกทอดทิ้ง พ่อ-แม่ บางรายเมื่อเห็นว่าเด็กมีความบกพร่องหรือพิการก็จะไม่อยากเลี้ยงไม่อยากดูแลเด็กเหล่านี้ เพราะคิดว่าต้องเป็นภาระให้กับตนเองไปตลอด หรืออาจเพราะเด็กที่มีความบกพร่องหรือพิการมีความจำเป็นในการที่ต้องใช้จ่ายในการดูแลเยอะกว่าเด็กปกติ เช่น ค่าดูแลรักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น

ประการที่ 6เด็กไร้สัญชาติ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มชาวเขาและชนกลุ่มน้อย มีประมาณ 579,239 คน กระจายอยู่ใน 20 จังหวัดภาคเหนือ กลุ่มบุตรหลานของผู้อพยพ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า กว่า 700,000 คน และกลุ่มคนไทยไร้สัญชาติไทย ได้แก่ กลุ่มคนไทยเร่ร่อน และคนไทยตามแนวชายแดน บุตรคนเร่ร่อนที่ระบุสัญชาติไทยไม่ได้จะกลายเป็รนเด็กไร้สัญชาติ ซึ่งจะมีปัญหาการรับบริการจากรัฐ

ประการที่ 7ปัญหาจากตัวเด็กเองเด็กวัยรุ่นกำลังอยากรู้อยากเห็น และอยากลอง ต้องการความเป็นอิสระ ต้องการหาประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ ชอบฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ระเบียบต่างๆ รวมทั้งต้องการมีกลุ่ม มีพวกพ้องเพราการมีพวกพ้องเป็นวิถีให้เด็กได้รับตอบสนองความต้องการหลาย ประการ เช่น ความรู้สึกอบอุ่นใจ การได้รับการยกย่อง ความรู้สึกว่ามีผู้เข้าใจตน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับตน จึงเป็นผลให้เด็กเลือกใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านกับเพื่อนมากกว่าอยู่กับพ่อแม่และ รู้สึกว่าถูกบังคับให้ทำสิ่งต่างๆตามความต้องการของพ่อแม่

ประการที่ 8 ปัญหาจากโรงเรียนจากกการศึกษาพบว่า มีปัญหาหนึ่งนั้นก็คือ ปัญหาจากโรงเรียนเป็นตัวผลักดันให้ออกมาเร่ร่อนด้วย โดยเรียนที่มีระบบการผลักดันให้เด็กออกจากโรงเรียนโดยไม่รู้ ตัว เช่น การเข้มงวด ดุด่าประจานห น้าเสาธง ไม่ยืดหยุ่นผ่อนปรนในบางเรื่อง เช่น การแก้ 0 แก้ ร ไม่ทันเวลา บางครั้งถูกครูลงโทษโดย ไม่มีเหตุผล ถูกทำให้ได้รับความอับอายที่โรงเรียน ถูกประณามว่าเป็นเด็กไม่ดี เป็นคนเลว ทำให้เด็กต้องการเป็นคนเลวไปจริงๆ ไม่สมควรที่จะเรียนหนังสือ หรืออยู่บ้านอีกต่อไป จึงเป็นเหตุให้เด็กหนีออกมาเร่ร่อน

ผลกระทบต่อปัญหาเด็กเร่ร่อนในการพัฒนาประเทศ

– ผลกระทบต่อเด็ก

1. เด็กจะเกิดปัญหาการไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ติดยาเสพติด การติดเชื้อเอดส์ และพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม มีครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งยังไม่มีความพร้อมด้านวุฒิภาวะทางอารมณ์ และ ความสามารถในการเลี้ยงดูลูก การทำแท้ง การทอดทิ้งเด็ก อีกทั้งการใช้ความรุนแรงในครอบครัวตามมา กลายเป็นวงจรของปัญหาที่ไม่สิ้นสุด

2. เด็กที่ถูกทอดทิ้งเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระในครอบครัวจึงต้องออกทำงาน นำมาซึ่งปัญหาการใช้แรงงานเด็กอย่างไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ถูกละเมิดสิทธิและทำทารุณกรรม อีกทั้งเกิดกระบวนการล่อลวงและค้าเด็กเพื่อค้าประเวณีที่มีรูปแบบซับซ้อนมากขึ้น หรือเด็กขายบริการทางเพศด้วยความสมัครใจมีอายุน้อยลง คือ 13-15 ปีมากขึ้น (ศูนย์การศึกษาเพื่อเด็กด้อยโอกาส คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

3. เด็กไม่สามารถเข้าถึงบริการของรัฐและสิทธิที่ควรจะได้รับ โดยเริ่มตั้งแต่คลอด เมื่อพ่อแม่ของเด็กพาเด็กมาให้ตายายเลี้ยงดูที่ต่างจังหวัด ปัญหาที่เราพบเสมอคือเด็กไม่มีหลักฐานการเกิด เนื่องจากแม่เด็กไม่ได้ทิ้งเอกสารไว้ให้หรือบางคนไม่ได้แจ้งเกิดให้กับลูก ทำให้เด็กหลายคนไม่สามารถเข้าถึง บริการของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล หรือการศึกษา

4. ปัญหาต่อมาจะเกิดขึ้นกับเด็กในช่วงวัยก่อนเรียน เด็กจำนวนมากยังอยู่ในภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากตายายขาดความรู้ในการเลี้ยงดูเด็กและความยากจนทำให้ไม่มีเงินที่จะซื้อนมให้เด็ก บาง ครั้งต้องกินน้ำข้าวแทนนม เด็กจึงขาดสารอาหาร ทำให้เด็กหลายคนมีพัฒนาการล่าช้ากว่าวัย เป็น โรคแทรกซ้อนต่างๆ รวมทั้งมีผลต่อระดับสติปัญญาและพิการได้

– ผลกระทบต่อสังคม

1.ด้านการศึกษา

ซึ่งจะเรียกว่าเป็นวิกฤตการณ์ทางการศึกษาเพราะเด็กเร่ร่อนมีเป็นจำนวนมากจากซึ่งในข้อมูลประมาณ30,000คน เป็นเด็กเร่ร่อนไม่ได้เข้าเรียนหนังสือหรือเรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ ทำให้เด็กที่กลายเป็นเด็กเร่ร่อนนั้นไม่ได้รับการศึกษาอย่างดีเท่าที่ควร

2. ด้านสิทธิและเสรีภาพ

– ปัญหาเด็กถูกละเมิดสิทธิ เด็กถูกทารุณ ถูกทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ เด็กถูกละเมิดทางเพศ ซึ่ง พบว่าเด็กที่ถูกกระทำจะมีอายุน้อยลง การละเมิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น

– ปัญหาแรงงานเด็กพบว่าปัจจุบันมีเด็กถูกใช้แรงงาน ปัญหาโสเภณีเด็กซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งหญิงและ ชายจากการสำรวจข้อมูลผู้ให้บริการทางเพศทั่วประเทศพบว่ามีแนวโน้มว่าเด็กผู้ชายจะขาย บริการทางเพศเพิ่มขึ้น

– ปัญหาที่น่าวิตกไม่แพ้กันคือปัญหาเด็กกำพร้าและเด็กถูกทอดทิ้งจำนวนสูงถึง 1.4 แสนคน หรือ ค่าเฉลี่ยของเด็กถูกทอดทิ้งต่อวันคือวันละ 5 คน

3.ด้านสังคม

การใช้ยาเสพติด เด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่มีประสบการณ์การใช้ยาเสพติด ทั้งกาว ยาบ้า กัญชา หรือ แม้กระทั่ง เฮโรอีน มาก่อนที่จะทำอาชีพนี้ ทั้งโดยเพื่อนชักชวน และ ความอยากลองของตนเอง ทั้งๆที่เด็กทราบถึงผลร้ายของสารเสพติดเป็นอย่างดี และรวมไปถึงการลักขโมย ปัญหา อาชญากรรม ซึ่งเด็กเร่ร่อนเหล่านี้ก็ต้องการอาหารซึ่งกลายมาเป็นปัจจัยมาสู่การเป็นขโมยได้

การแก้ไขปัญหาเด็กเร่ร่อนอย่างยั่งยืน

1. ด้านการพัฒนาเด็ก รัฐควรมีกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตเพื่อให้เด็กพึ่งตนเองให้ได้ในอนาคต

2. ด้านการพัฒนาบุคลากร รัฐควรมีมาตรการในการช่วยพัฒนาครูและเจ้าหน้าที่ประจำบ้านให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดใน พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และรัฐควรมีการสร้างองค์ความรู้ เสริมทักษะและศักยภาพแก่ครูและเจ้าหน้าที่ประจำบ้านในเรื่องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

3. ด้านนโยบาย รัฐควรกำหนดยุทธศาสตร์ในการดูแลเด็กเร่ร่อนและเด็กด้อยโอกาสที่เข้ามาอยู่ในบ้านแรกรับและบ้านพัฒนาเด็กทั้งของภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นองค์รวม และรัฐควรสนับสนุนการดำเนินงานของบ้านแรกรับและบ้านพัฒนาเด็กที่ดำเนินงานโดยองค์กรเอกชนเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนของรัฐเป็นไปอย่างครอบคลุม โดยรัฐควรสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานขั้นต่ำประมาณ 7,000-37,000 บาท ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 73-83 บาทต่อเด็กหนึ่งคนต่อวัน

4. รัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานกับเด็กเร่ร่อนอย่างเป็นองค์รวม ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานสอดประสานแบบบูรณาการ

5. หน่วยงานหรือองค์กรที่ทำงานด้านครอบครัวต้องหาทางแก้ไขครอบครัววัยรุ่น ป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญ

6. ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณการทำงานของครูข้างถนน ทั้งภาครัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนให้ครอบคลุมและเพียงพอต่อจำนวนเด็กเร่ร่อน


7. ต้องเร่งบรรจุครูข้างถนนที่อยู่ในส่วนของหน่วยงานรัฐให้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เพื่อสร้างความมั่นคงและขวัญกำลังใจในการทำงาน เนื่องจากปัจจุบันครูข้างถนนของภาครัฐเป็นเพียงลูกจ้างชั่วคราวเท่านั้น เมื่อบรรจุแล้วจะสามารถรับรองเอกสารต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือเด็กได้รับสิทธิทางการศึกษาและการรักษาพยาบาลได้
”ขณะนี้เด็กเร่ร่อนทั่วประเทศมี 30,000 คน แต่ครูข้างถนนของภาครัฐที่ทำงานกับเด็กเร่ร่อนไม่ถึง 100 คน แบ่งเจ้าหน้าที่รัฐของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกรุงเทพมหานคร ส่วนครูข้างถนนจากองค์กรพัฒนาเอกชนมีไม่เกิน 20 คน ดังนั้น การช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนจึงเกิดความล่าช้า และไม่สามารถป้องกันปัญหาได้ทันการณ์”

ทั้งนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 52 ว่า เด็กและ เยาวชนซึ่งไม่มีผู้ดูแลมีสิทธิได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอบรมที่เหมาะสมจากรัฐ ทว่ารูปธรรมในทางปฏิบัติของบ้านแรกรับและบ้านพัฒนาเด็กกลับยังไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐอย่างเป็นระบบ ภายใต้บริบทของสถานการณ์เงินบริจาคที่ลดน้อยถอยลง กอปรกับการเปิดเสรีอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ นับวันโจทย์ในการดูแลเด็กเร่ร่อนก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายสังคมไทยมากขึ้นทุกขณะ

คุณค่าผลงานต่อสังคม

เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาของเด็กเร่ร่อนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในสังคม เป็นการเปิดเผยความจริงของเด็กเร่ร่อนให้สังคมได้รับรู้ ว่าพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะให้หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบต่อด้านนี้และประชาชนทั่วไปยื่นมือเข้ามาช่วยหาแนวทางในการช่วยเหลือเด็กเร่รอ่นในสังคมให้ลดน้อยลงและช่วยเหลือเด็กเร่ร่อนให้มีได้มีโอกาสในด้านต่างๆเท่ากับเด็กทั่วไป ทั้งนี้ยังเป็นข้อฉุดติดให้ผู้ปกครองดูแลเอาใจใส่บุตรหลานของตัวเองมากขึ้น เพราะเนื่องปัญหาส่วนใหญ่ของเด็กเร่ร่อนที่เกิดขึ้นในสังคมไทยเรานั้นเกิดจากปัญหาครอบครัวถ้ามีสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่แน่นแฟ้น ก็จะช่วยลดปัญหาเด็กเร่ร่อนได้

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้อง

1. บ้านแรกรับและบ้านพัฒนาสำหรับเด็กเร่ร่อน

2. มูลนิธิกระจกเงา

3. สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า

4. เด็ก ประชาชนที่อยู่ตามใต้สะพานลอย สวนสาธารณะ แลในสถานที่ต่างๆ

คำถามในการถามแหล่งข่าว

1. บ้านแรกรับและบ้านพัฒนาสำหรับเด็กเร่ร่อน

– ทางบ้านแรกรับและพัฒนาเด็กอ่อนมีวิธีการพัฒนาเด็กอ่อนอย่างไร

– งบประมาณที่ใช้จ่ายแต่ละเดือนเท่าไร

– ปัญหาเด็กเร่ร่อนที่มาที่บ้านแห่งนี้ส่วนมากเป็นปัญหาอะไร

– เด็กที่มาที่บ้านแห่งนี้ส่วนมากอายุเท่าไร

– องค์ใดให้การสนับสนุนเรื่องค่าใช้จ่ายมากที่สุด

– ปัญหาเด็กเร่รอนมีผลกระทบต่อสังคมในด้สนใดบ้าง

– ปัจุจบันมีเด็กที่ออกไปแล้วส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพ การทำงานและความ เป็นอยู่มากน้อยเพียงใด

2. มูลนิธิกระจกเงา

– งบประมาณที่ใช้ในการดูแลมูลนิธิกระจกเงาต่อเดือนเท่าไร

– คิดว่าปัญหาเด็กเร่ร่อนส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาอะไร

– มูลนิธิมีการส่งเสริมเด็กในด้านใดบ้าง

– ปัญหาเด็กเร่ร่อนมีผลกระทบต่อสังคมอย่างไรบ้าง

– แนวโน้นของเด็กเร่ร่อนในสังคมมีทิศทางเป็นอย่างไร เพิ่มขึ้นหรือลดลง

– ปัจุจบันมีองค์กรให้ความช่วยเหลือมูลนิธิกระจกเงากี่องค์กร

– ทางมูลนิธิมีเด็กเร่ร่อนทั้งหมดกี่คน และมีคนในองค์กี่คนที่ช่วยในการดูและเด็กเร่รอน

– เด็กที่ได้ออกจากมูลนิธิไปแล้วมีความสำเร็จทางด้านอาชีพการงาน และความเป็นอยู่มากน้อยเพียงใด

3. สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า

– งบประมาณที่ใช้ในการดูแลสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าต่อเดือนเท่าไร

– คิดว่าในปัจุจบันเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นหรือลดลง

– ปัญหาส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดเด็กกำพร้าคืออะไร

– ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้มีปัญหามากน้อยเพียงใด

– หน่วยงานใดที่ให้การสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า

– ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามี่เด็กกำพร้าทั้งหมดประมาณกี่คน

– ทางสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้ามีวิธีการเรียนการสอนเด็กแบบใดและไปในรูปแบบไหน

– ต่อเดือนมีผู้มารับอุปการะเลี้ยงดูเด็กกำพร้าเดือนละกี่คนส่วนใหญ่เป็นเพศไหนมากกว่ากัน

4. เด็ก ประชาชนที่อยู่ตามใต้สะพานลอย สวนสาธารณะและที่ต่างๆ

– ทำไมถึงมาอยู่ตามที่แห่งนี้

– ทำไมจึงไม่ไปอยู่ในมูลนิธิต่างๆที่เขามีห้องให้อยู่ อาหารให้กิน มีการอบรมการเรียนการสอนและการพัฒนาอาชีพ

– ปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นคือปัญหาอะไร

– มาอยู่นานหรือยัง

– มีการหารายได้จากไหนเป็นหลัก

– ทางบ้านว่ายังไงที่มาอยู่ที่นี้

– มีองค์กรเข้ามาดูและหรือให้การสนับสนุนบ้างหรือเปล่า

– ในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายเท่าไร

– อาศัยอยู่ที่เดิมหรือเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ

– ปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่คือปัญหาอะไร

ลักษณะของคำถามที่ใช้

เป็นคำถามที่กระชับ ได้ใจความ ตรงไปตรงมา ถามถึงตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปัญหา มีความชัดเจน